สว. 'สังศิต' ชงใช้แนวทาง ยุทธศาสตร์สงครามแก้ปัญหาน้ำแบบเบ็ดเสร็จ
วันนี้ (31 ก.ค.63) นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ สมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยว่า อีก 2 เดือนกว่าจะสิ้นฤดูฝน ขณะที่หลายพื้นที่ประสบภาวะขาดน้ำ โดย 2 เดือน ที่เหลือปริมาณฝนไม่น่าจะเพียงพอ คาดว่าภาวะแล้งจะยาวถึงปี 2564 หากไม่เปลี่ยนยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาเรื่องน้ำ จะเกิดความเสียหายต่อเกษตรกรอย่างร้ายแรง ดังนั้นจึงเสนอแนวทางแก้ปัญหา คือ ยุทธศาสตร์สงครามแก้ปัญหาน้ำแบบเบ็ดเสร็จ ระดับจังหวัด เพื่อแก้ปัญหาความยากจน
“ในระหว่างวันที่ 25-27 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา ตนเองและคณะกรรมาธิการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา ได้แก่ นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ และนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ รองประธานคณะกรรมาธิการฯ พลโทจเรศักณ์ อานุภาพ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ฯ นายชนศวรรตน์ ธนศุภรณ์พงษ์ อนุกรรมาธิการฯ นายภัทรพล ณ หนองคาย นายสุภัทรดิศ ราชธา ผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมกักเก็บน้ำขนาดเล็ก พร้อมคณะฯ ได้ร่วมศึกษาดูงานเพื่อให้ได้ข้อมูล รับรู้ปัญหา ในสภาพพื้นที่หลากหลายต่างกัน ที่สำคัญคือคณะเรามีโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ กับส่วนราชการต่างๆ ผู้นำองค์ปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และชาวบ้านทั่วไป โดยเห็นตรงกันว่า เวลา 2 เดือนที่เหลือ ต้องเร่งสร้างฝายแกนซอยซีเมนต์เพื่อชะลอ กัก และเก็บน้ำในพื้นที่เป้าหมายอย่างเร่งด่วน” นายสังศิตกล่าว
นายสังศิต กล่าวว่า ยังได้นำเสนอ ‘ยุทธศาสตร์สงครามแก้ปัญหาน้ำแบบเบ็ดเสร็จ ระดับจังหวัด เพื่อแก้ปัญหาความยากจน’ ยุทธศาสตร์มีหลักการที่สำคัญ 4 ประการคือ
1. สำรวจและรวบรวมแหล่งเก็บน้ำในจังหวัดทั้งหมด ดูปริมาณน้ำฝนตกในจังหวัดเฉลี่ยต่อปี เปรียบเทียบกับปริมาณความต้องการใช้น้ำของทั้งจังหวัดต่อปี
2. บูรณาการ อำนาจหน้าที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดับจังหวัด คือ ชลประทานจังหวัด กรมเจ้าท่า (ระดับภาค/จังหวัด) กรมป่าไม้ / อุทยานฯ และองค์กรปกครองท้องถิ่น
3. การสร้างฝายแกนซอยซีเมนต์เพื่อชะลอ กัก และเก็บน้ำ ต้องคำนึงถึงการสร้างให้แล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว ใช้งบน้อย ไม่ส่งกระทบบริเวณรอบๆ และเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วทันใจเพียง 2-3 วัน ประชาชนต้องได้ใช้น้ำทันทีและสามารถเก็บกักน้ำเอาไว้ใช้ได้ตลอดปี
4. ใช้งบฉุกเฉินจังหวัดจังหวัดหรืองบสนับสนุนขององค์กรปกครองท้องถิ่นแต่ละพื้นที่ การระดมทุนเพื่อพึ่งพาตนเองหรือขอรับการสนับสนุนจากโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาล
‘‘เนื่องจากสถานการณ์น้ำของประเทศมีแนวโน้มที่น่ากังวลใจกล่าวคือ แหล่งเก็บกักน้ำส่วนใหญ่เก็บน้ำได้น้อย จากตัวเลขของกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) พบว่า มีปริมาณน้ำรวมในแหล่งน้ำเหลือเพียง 33.976 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 41% น้อยกว่าปี 62” (ก.ค. 2563) และเรามีพื้นที่การเกษตร 149.2 ล้านไร่ อยู่ในเขตชลประทานรวม 30.22 ล้านไร่ เพียงร้อยละ 20 ของพื้นที่การเกษตร ซึ่งได้รับการจัดสรรน้ำปีละ 65,000 ล้าน ลบ.ม. อีก 120 ล้านไร่ หรือกว่าร้อยละ 80 เป็นพื้นที่เกษตรนอกเขตชลประทานโดยพึ่งน้ำฝนเป็นหลัก มีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำ เพื่อสู้รบแก้ปัญหาน้ำแล้ง จะต้องใช้ยุทธศาสตร์การทำสงครามแบบเบ็ดเสร็จที่เน้นความเร็วเพื่อเร่งสร้างฝายแกนซอยซีเมนต์ให้มากที่สุด เช่น การสร้างฝายแกนซอยซีเมนต์ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2558 กว่า 80 แห่ง ปัจจุบันยังใช้การได้ดี ชาวบ้านมีน้ำใช้ตลอด เป็นสิ่งยืนยันได้ชัดเจน” นายสังศิต กล่าว
นายสังศิต กล่าวอีกว่า 'ฝายแกนซอยซีเมนต์' เป็นนวัตกรรมเพื่อชะลอ กัก และเก็บน้ำ เมื่อถึงฤดูแล้งน้ำธรรมชาติที่อยู่ใต้ดินจะซึมผ่านขึ้นมาตามธรรมชาติและถูกกักเก็บไว้ด้วยฝายซอยซีเมนต์ ปัจจุบันจังหวัดต่างๆ ใช้นวัตกรรมนี้แก้ปัญหาภัยแล้งได้กว่า 80 แห่งนับตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งยังใช้การอยู่ในปัจจุบัน ข้อดีของ ’ฝายแกนซอยซีเมนต์’ คือ ไม่ซับซ้อน ไม่เป็นสิ่งแปลกปลอมทางธรรมชาติ ใช้เงินน้อย แค่หลักหมื่นถึงหลักแสนบาท ขึ้นอยู่กับขนาดของฝาย สร้างได้เร็วทันใจ 2-5 วัน ได้น้ำใช้ภายใน 2-3 วัน
“ในเชิงการบริหารจัดการ องค์กรปกครองท้องถิ่นคือ องค์การบริหารส่วนตำบลศรีบุญเรืองเป็นองค์กรนำในการแก้ปัญหาภัยแล้งให้กับชาวบ้าน ซึ่งจะต้องประสานหลายหน่วยงาน เช่น กรมเจ้าท่า กรมชลประทาน ซึ่งสามารถบูรณาการอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการระดับจังหวัด ซึ่งทำให้ขั้นตอนการประสานระหว่างหน่วยงานด้วยกันเองยุติลงด้วยมติที่ประชุมให้สามารถก่อสร้างฝายซอยซีเมนต์เพื่อชะลอ กัก และเก็บน้ำในลำน้ำชี ที่จังหวัดแพร่ยังประสบกับแหล่งเก็บน้ำรั่วซึม แม่น้ำยมแห้ง บางช่วงบางตอนฝายชะลอน้ำเดิมชำรุด ต้องใช้งบประมาณสูง และล่าช้าในขั้นตอนการดำเนินงาน” นายสังศิต กล่าว
เกาะติดข่าวที่นี่website: www.TNNTHAILAND.comfacebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE