รีเซต

PTTEPปริมาณ-ราคาสูง ดันผลงานไตรมาส2โดด

PTTEPปริมาณ-ราคาสูง ดันผลงานไตรมาส2โดด
ทันหุ้น
6 พฤษภาคม 2565 ( 05:40 )
89
PTTEPปริมาณ-ราคาสูง ดันผลงานไตรมาส2โดด

#PTTEP #ทันหุ้น - PTTEP ประกาศชัดงบไตรมาส 2/2565 จะเด่นกว่าไตรมาส 1/2565 ที่อ่วมประกันความเสี่ยงน้ำมัน ชูยอดผลิตแตะ 4.67 แสนบาร์เรลต่อวัน ทั้งปีรักษาระดับดังกล่าว ขณะที่ต้นทุนปีนี้ที่ 28-29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ราคาน้ำมันยังสูง 90-130 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สนใจซื้อแหล่งก๊าซไทย,มาเลเซีย และตะวันออกกลาง ต่อยอด

 

นายธนัตถ์  ธำรงศักดิ์สุวิทย์  ผู้จัดการ แผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEPเปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2565 คาดว่าจะดีกว่าไตรมาส 1/2565 เนื่องจากคาดการณ์ปริมาณการขายเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 2 ปี 2565 ที่ประมาณ 467,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน และทั้งปี 2565 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับนี้ ท่ามกลางราคาขายยังอยู่ในระดับที่สูง ตามราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 90-130 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยของทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 6.2 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู และคาดว่าทั้งปีจะอยู่ที่ 6.4 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู

 

ขณะที่ต้นทุนต่อหน่วยในไตรมาส 2 และทั้งปีนี้ จะอยู่ที่ประมาณ 28-29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เทียบเท่าน้ำมันดิบ และคาดว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA Margin) ในไตรมาส 2 และทั้งปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 70-75% ตามเดิม

 

@ น้ำมันดิบ 90-130 ดอลลาร์

 

“แนวโน้มราคาน้ำมันในปีนี้ยังคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 90-130 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยความต้องการใช้น้ำมันปีนี้ มีแนวโน้มที่ฟื้นตัว แต่จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ยังสูงกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อาจส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังต้องรอดูสถานการณ์กันต่อไป”

 

ส่วนซัพพลายในปีนี้ยังเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป กลุ่มโอเปกพลัส ยังคงมติเพิ่มกำลังการผลิตที่ 4.32 แสนบาร์เรลต่อวัน จนถึงเดือนกันยายน ทำให้บางประเทศเริ่มมีการปล่อยน้ำมันดิบออกจากคลังสำรองเชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะสหรัฐที่มีการระบายน้ำมันดิบ ทำให้ซัพพลายน้ำมันมีมากขึ้น ซึ่ง PTTEP ก็มีการติดตามราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิดมีการทำประกันราคาน้ำมัน

 

สำหรับราคาก๊าซธรรมชาติ คาดการณ์ราคาเฉลี่ยทั้งปี 2565 จะอยู่ที่ประมาณ 23-26 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ซึ่งความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนจะยังคงเป็นปัจจัยหลัก ที่ส่งผลกระทบต่อความผันผวนของราคาก๊าซธรรมชาติในปีนี้ โดยดีมานด์จะสูงขึ้นอยู่ที่ประมาณ 401 ล้านตันต่อปี จากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในภูมิภาคยุโรปเพื่อไปเติมเต็มระดับก๊าซธรรมชาติคงคลัง ในขณะเดียวกันภูมิภาคเอเชียยังมีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นจากประเทศจีน อินเดียและบังกลาเทศ สำหรับทางด้านซัพพลาย สถานการณ์ LNG ในตลาดโลกคาดจะมีกำลังการผลิตรวมจากโครงการเดิมและโครงการใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 27 ล้านตันในปี 2564 เป็น 422 ล้านตันในปี 2565 โดยหลักมาจากสหรัฐ และรัสเซีย เป็นหลัก

 

@ลงทุนแหล่งก๊าซเพิ่ม

 

โครงการลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้า บริษัทยังคงมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการที่ดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น G1/61 (แหล่งเอราวัณ) โครงการ G2/61 (แหล่งบงกช) โครงการโครงการโมซัมบิก แอเรีย วันในประเทศโมซัมบิก และโครงการที่กำลังพัฒนาในประเทศมาเลเซียอย่างโครงการซาราวัก เอสเค 410 บี (แหล่งลัง เลอบาห์) และมีกระแสเงินทุนรองรับ ณ ไตรมาส 1 ปี 2565 บริษัทมีเงินสดในมือประมาณ 3,346 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นประมาณ0.33เท่า ซึ่งยังคงสภาพคล่องและอยู่ในกรอบนโยบายการเงินของบริษัท

 

นอกจากนี้บริษัทยังมีกลยุทธ์การเข้าซื้อกิจการ (M&A) ยังคงเน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักอย่างสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โดยเฉพาะการลงทุนในแหล่งก๊าซธรรมชาติ เนื่องจากสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงการเปลี่ยนผ่าน โดยมีเป้าหมายโครงการทั้งในประเทศไทย, มาเลเซีย และภูมิภาคตะวันออกกลาง แต่ทั้งนี้ต้องมีต้นทุนที่ต่ำด้วย ตลอดจนการสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดให้กับบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด (ARV) โดยเร่งนำผลิตภัณฑ์และบริการเข้าสู่ตลาดให้เร็วขึ้น รวมถึงมองหาโอกาสการลงทุนทางธุรกิจร่วมกับพันธมิตรใหม่ๆ

 

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ระบุถึง PTTEP ว่ายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ไว้ที่ 6.18 หมื่นล้านบาท (เติบโต 59% จากปีก่อน) สะท้อนถึงกำไรสุทธิ 1.7 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 2/2565 ถึงไตรมาส 4/2565 ซึ่ง PTTEP น่าจะทำได้ เมื่อพิจารณาจากกำไรจากการดำเนินงาน 1.88 หมื่นล้านบาท ในไตรมาส 1/2565 แต่บริษัทมีขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงน้ำมัน ทำให้มีกำไรสุทธิที่ 10,519 ล้านบาท ลดลง 9%YoY และ 1%QoQ

 

เชื่อว่า PTTEP จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่สูงขึ้นตั้งแต่ ไตรมาส 2/2565 เป็นต้นไป ประเมินราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี DCF ที่ 182 บาท ซึ่งอิงกับราคานํ้ามันดิบเบรนท์ในระยะยาวที่ 65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง