รีเซต

วิเคราะห์งบประมาณ 2568: จุดสมดุลระหว่างกระตุ้นเศรษฐกิจ-พัฒนาโครงสร้างประเทศ

วิเคราะห์งบประมาณ 2568: จุดสมดุลระหว่างกระตุ้นเศรษฐกิจ-พัฒนาโครงสร้างประเทศ
TNN ช่อง16
19 มิถุนายน 2567 ( 18:30 )
27
วิเคราะห์งบประมาณ 2568: จุดสมดุลระหว่างกระตุ้นเศรษฐกิจ-พัฒนาโครงสร้างประเทศ

เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2567 นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ได้แถลงร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ต่อสภาผู้แทนราษฎร ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ 3,752,700 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 3.8 โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือการสร้างความสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ควบคู่ไปกับการลงทุนพัฒนาโครงสร้างประเทศเพื่อการเติบโตที่มีคุณภาพและยั่งยืนในระยะยาว


กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านงบลงทุนสูง

จุดเด่นของงบประมาณปีนี้คือการตั้งงบประมาณรายจ่ายลงทุนไว้ในระดับสูงที่ 908,224 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.2 ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมด ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในรอบ 17 ปี การใช้จ่ายงบลงทุนจำนวนมหาศาลนี้จะทำให้เม็ดเงินจากภาครัฐไหลเวียนออกไปสู่ภาคเอกชนและประชาชนอย่างต่อเนื่อง ผ่านการสั่งซื้อสินค้าและบริการ การจ้างงาน การลงทุน ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวได้กลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว


ลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

นอกจากจะใช้งบลงทุนในการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว รัฐบาลยังได้กำหนดทิศทางการใช้งบลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาประเทศตามแนวทางวิสัยทัศน์ "Ignite Thailand" ที่มุ่งยกระดับไทยสู่การเป็นศูนย์กลาง 8 อุตสาหกรรมสำคัญ เช่น การท่องเที่ยว การแพทย์และสุขภาพ เกษตรและอาหาร การบิน การขนส่ง ยานยนต์ไฟฟ้า เศรษฐกิจดิจิทัล และศูนย์กลางการเงิน โดยเน้นการลงทุนใน 6 พื้นฐานสำคัญ เช่น รัฐบาลดิจิทัล ระบบขนส่งที่ทันสมัย การพัฒนาการศึกษา และพลังงานสะอาด นับเป็นการวางรากฐานให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน


พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ครบวงจร

การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นับเป็นอีกเป้าหมายสำคัญของการจัดสรรงบประมาณปีนี้ โดยรัฐบาลได้จัดสรรงบกว่า 583,023 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.5 เพื่อพัฒนาคนไทยอย่างครอบคลุมตลอดทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเด็กปฐมวัย การปฏิรูประบบการศึกษาผ่านการใช้เทคโนโลยีและการสนับสนุนทุนการศึกษา การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การดูแลและส่งเสริมผู้สูงอายุ รวมถึงการพัฒนาระบบประกันสุขภาพและคุ้มครองทางสังคมให้ทั่วถึง ซึ่งการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์เหล่านี้ จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย และส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว


ส่งเสริมโอกาสและความเสมอภาค

รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องกับการลดความเหลื่อมล้ำ และการสร้างโอกาสความเสมอภาคให้กับประชาชนในทุกภาคส่วน โดยจัดสรรงบประมาณกว่า 923,851 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.6 ในด้านนี้ ครอบคลุมตั้งแต่โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน การเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การสร้างหลักประกันสวัสดิการและสุขภาพ ตลอดจนการกระจายงบประมาณสู่ท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมในการพัฒนาคุณภาพชีวิต


เตรียมรับมือภัยพิบัติ

นอกจากนี้ งบประมาณปีนี้ยังให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นรุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐบาลจึงได้ลงทุนกว่า 99,132.7 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ ทั้งระบบชลประทาน การจัดการน้ำแบบองค์รวม การแก้ปัญหาน้ำท่วม รวมถึงฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ ซึ่งนอกจากจะช่วยบรรเทาภัยพิบัติแล้ว ยังจะช่วยรักษาเสถียรภาพการผลิตในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม และสร้างความมั่นคงให้กับวิถีชีวิตในชนบท


ควบคุมการเงินการคลังรัดกุม

อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในปีนี้ ประกอบกับรายได้ภาษีที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ได้ส่งผลให้งบประมาณปีนี้ขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 865,700 ล้านบาท อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ท้าทายในปัจจุบัน การขาดดุลงบประมาณชั่วคราวเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ถือเป็นการดำเนินนโยบายเชิงรุกที่จำเป็นและเหมาะสม รัฐบาลเองได้ให้คำมั่นว่าจะดำเนินนโยบายการคลังด้วยความระมัดระวัง ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง โดยจะควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะไม่ให้เกินร้อยละ 70 ของ GDP ตามกฎหมาย และใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด


สรุป

งบประมาณประจำปี 2568 จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้น ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายภาครัฐ พร้อมๆ กับการลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างประเทศในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หรือการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ โดยคำนึงถึงการกระจายโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมในทุกภาคส่วน หากการใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ก็น่าจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตในระยะสั้นไปได้ พร้อมวางรากฐานการพัฒนาประเทศที่มั่นคงในระยะยาว ไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในที่สุด




ที่มา:


เว็บไซต์สำนักงบประมาณ: https://www.bb.go.th/

ข่าวที่เกี่ยวข้อง