รีเซต

วิกฤตภาพ AI น้ำท่วมหาดใหญ่ ลวงสายตาสังคม–กระทบงานกู้ภัย

วิกฤตภาพ AI น้ำท่วมหาดใหญ่ ลวงสายตาสังคม–กระทบงานกู้ภัย
TNN ช่อง16
27 พฤศจิกายน 2568 ( 11:52 )
9

พฤศจิกายน 2568 หาดใหญ่เผชิญมหาอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ระดับน้ำทำลายสถิติปี 2553 และทำให้ประชาชนหลายหมื่นคนต้องอพยพออกจากพื้นที่ ขณะเดียวกันงานกู้ภัยเร่งช่วยผู้ประสบภัยท่ามกลางเส้นทางถูกตัดขาดและสาธารณูปโภคล่มทั่วเมือง แต่ในจังหวะเดียวกัน โลกออนไลน์กลับเต็มไปด้วยคลิปและภาพสัตว์ “ฮีโร่” ที่ถูกสร้างขึ้นด้วย AI จนเกิดปัญหาข่าวปลอมจำนวนมาก ส่งผลให้ข้อมูลจริงจากพื้นที่ทำงานได้ยากขึ้น และกระทบต่อความเชื่อมั่นของสังคมต่อภาพจากเหตุการณ์จริงอย่างมีนัยสำคัญ

กระแสข่าวปลอมเริ่มต้นจากภาพสุนัขคาบแมวกลางน้ำท่วมซึ่งถูกแชร์อย่างรวดเร็วทั่วประเทศและต่างประเทศ แม้ภาพนี้จะดูอบอุ่นและสะเทือนใจ แต่เมื่อถูกนำเข้าสู่ระบบตรวจสอบของ Google Lens และ Google’s SynthID Detector พบว่าเป็นภาพที่สร้างขึ้นด้วย AI มีลายน้ำดิจิทัลและรายละเอียดผิดธรรมชาติหลายจุด เช่น ขนแมวหลอมรวมกับอุ้งเท้าสุนัข แสงบนใบหน้าแมวไม่สัมพันธ์กับบรรยากาศโดยรวม รวมถึงองค์ประกอบของบ้านและระดับน้ำที่ไม่สอดคล้องกัน เมื่อภาพถูกยืนยันว่าไม่ใช่เหตุการณ์จริง ความนิยมของภาพกลับจุดประกายกระแสภาพสัตว์ที่สร้างด้วย AI รูปแบบอื่นๆ เช่น งูเหลือมคาบแมว จระเข้คาบแมว แมวคาบงู และภาพสัตว์ประหลาดที่ถูกทำขึ้นเพื่อความบันเทิงหรือเพื่อใช้ประกอบโพสต์รับบริจาค แม้ภาพเหล่านี้จะดูขำขันในบางบริบท แต่การแพร่กระจายจำนวนมากทำให้โลกออนไลน์เต็มไปด้วยข้อมูลที่แยกไม่ออกว่าภาพใดเกิดขึ้นจริงและภาพใดถูกสร้างขึ้น

ผลที่ตามมาคือ เกิดความลังเลและความไม่เชื่อมั่นต่อภาพจริงจากพื้นที่วิกฤต เช่น กรณีงูขนาดใหญ่เลื้อยเข้าบ้านประชาชนในอำเภอหาดใหญ่ ซึ่งต้องการการช่วยเหลือเร่งด่วน แต่กลับมีผู้ใช้บางส่วนมองว่าเป็นภาพปลอมที่ทำด้วย AI ส่งผลให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้าพื้นที่ล่าช้ากว่าที่ควร เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อภาพ AI ท่วมโซเชียลในช่วงเวลาเดียวกับเหตุการณ์จริง ความสามารถในการแยกแยะข้อมูลลดลงจนส่งผลต่อการตัดสินใจที่มีผลต่อชีวิตของคนในพื้นที่ เป็นความท้าทายใหม่ของการจัดการภัยพิบัติในยุคดิจิทัล

เพื่อรับมือกับปัญหานี้ ประชาชนจำเป็นต้องใช้ทั้งเครื่องมือเทคโนโลยีและทักษะสังเกตควบคู่กัน Google Lens และ SynthID Detector สามารถช่วยตรวจสอบความเป็นมาของภาพหรือระบุว่าภาพถูกสร้างด้วย AI หรือไม่ ขณะเดียวกัน เทคนิคการสังเกตเบื้องต้น เช่น อวัยวะผิดโครงสร้าง ตัวอักษรเพี้ยน แสงเงาไม่สัมพันธ์กัน ใบหน้าดูเป็นพลาสติก หรือสัดส่วนวัตถุไม่สมจริง ช่วยให้ตรวจจับภาพผิดปกติได้ในระดับหนึ่ง แม้จะไม่สมบูรณ์แบบแต่เป็นแนวทางที่ช่วยลดโอกาสแพร่ข้อมูลปลอมในช่วงสถานการณ์วิกฤต

พื้นที่ออนไลน์ไม่ได้มีเพียงภาพปลอม แต่ยังมีข่าวลือที่สร้างความสับสน เช่น ข่าวว่าเฮลิคอปเตอร์ของหน่วยกู้ภัยตกกลางหาดใหญ่ ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าไม่เป็นความจริง รวมถึงข่าวลือว่ามีผู้เสียชีวิตในโรงพยาบาลหาดใหญ่ถึง 80–100 คน ซึ่งถูกชี้แจงอย่างเป็นทางการว่ามีศพอยู่เพียง 41 ศพ และส่วนใหญ่เป็นผู้เสียชีวิตก่อนเกิดน้ำท่วม เหล่านี้คือผลลัพธ์ของการแพร่ข้อมูลเท็จที่รวดเร็วกว่ากระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง แม้ตัวเลขจริงจะสามารถอธิบายด้วยข้อมูลทางวิชาการได้ แต่เมื่อข่าวลือเดินนำหน้าความจริง ย่อมสร้างผลกระทบต่อสภาพจิตใจของสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ด้านสถานการณ์จริง ระดับน้ำในคลองอู่ตะเภาพุ่งสูงสุดที่ประมาณ 9.97 เมตร ซึ่งสูงกว่าสถิติปี 2553 อย่างชัดเจน ปริมาณฝนสะสมกว่า 370 มิลลิเมตรถูกประเมินว่าเป็นเหตุการณ์ในระดับ “300 ปีเกิดครั้งหนึ่ง” ขณะที่ผู้ประสบภัยในหลายจังหวัดรวมกว่าเจ็ดหมื่นคน ผู้อพยพในอำเภอหาดใหญ่ราว 8,000–8,750 คน และมีผู้เสียชีวิตรวมหลายสิบรายในภาคใต้ ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าภัยพิบัติครั้งนี้มีขนาดใหญ่และซับซ้อน แต่ต้องอาศัยข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบเพื่อเข้าใจสถานการณ์อย่างรอบด้าน

ในด้านกฎหมาย การเผยแพร่ข่าวปลอมหรือภาพปลอมเข้าระบบคอมพิวเตอร์เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท และเป็นคดีอาญาที่ไม่สามารถยอมความได้ ภาครัฐได้เปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งข้อมูลผ่านสายด่วน 1111 และศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมเพื่อเร่งจัดการข้อมูลผิดพลาดเหล่านี้


บทเรียนจากเหตุการณ์นี้มีหลายมิติ ประชาชนต้องมีทักษะตรวจสอบข้อมูลมากขึ้น ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการตรวจเช็กแหล่งที่มาก่อนจะแชร์ข้อมูลใดๆ รัฐจำเป็นต้องสื่อสารอย่างรวดเร็ว ทันต่อจังหวะของโลกออนไลน์ และใช้ช่องทางที่ประชาชนเข้าถึงจริง ขณะที่แพลตฟอร์มและผู้พัฒนา AI ควรพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้ตรวจสอบความจริงได้ง่ายขึ้น เพื่อให้โลกออนไลน์ปลอดภัยและไว้วางใจได้มากกว่าเดิม

น้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2568 จึงเป็นมากกว่าวิกฤตทางธรรมชาติ แต่ยังเป็นกรณีศึกษาของวิกฤตข้อมูลในยุค AI ที่ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่ายในการจัดการ ทั้งเพื่อรักษาความถูกต้องของข้อมูล และเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด.

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง