รีเซต

เปิดผลสำรวจครึ่งปี 2568 คนไทยกังวล"เศรษฐกิจ" หวั่นตกงาน-รายได้ลด ไม่อยากจ่ายภาษีเพิ่ม

เปิดผลสำรวจครึ่งปี 2568 คนไทยกังวล"เศรษฐกิจ" หวั่นตกงาน-รายได้ลด ไม่อยากจ่ายภาษีเพิ่ม
TNN ช่อง16
28 กรกฎาคม 2568 ( 08:00 )
22

"เศรษฐกิจ" เป็นเรื่องใหญ่ที่คนไทยกังวลมากที่สุด 


ข้อมูลอ้างอิงจากการสำรวจความเห็นล่าสุด จากทางอิปซอสส์ (Ipsos) ผู้นำระดับโลกด้านการวิจัยตลาดและสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภค ที่เปิดเผยรายงานชุด “What Worries Thailand H1 2025" เรื่องความกังวลใจสูงสุดของคนไทยในครึ่งแรก ปี 2568   โดยมีการศึกษาประเด็นความกังวลของประชาชนคนไทยมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565


นอกจากจะสะท้อนความรู้สึกของคนไทยในวันนี้แล้ว ยังมีคำแนะนำสำหรับแบรนด์ต่างๆ ในการปรับตัวและวางแผนกลยุทธ์ เพื่อรับมือกับผลกระทบจากความกังวลของคนไทยที่ส่งผลต่อภาพรวมของตลาดและภาคธุรกิจในปัจจุบันอีกด้วย


ทั้งนี้จากรายงาน มีการสรุป 5 อันดับคนไทยกังวลใจสูงสุด ในครึ่งปีแรก ปี 2568 นี้ ปรากฎกว่า 


1. การเงินและการทุจริตทางการเมือง (Financial / Political corruption) ที่ 45%

2. ความยากจนและความไม่เท่าเทียมทางสังคม (Poverty & Social inequality) 37%

3. การว่างงาน (Unemployment) 31%

4. ภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) 24%

5. อาชญากรรมและความรุนแรง (Crime & Violence) 22%


คนไทยกังวลการเงินมากที่สุด แต่ในขณะที่ภาพรวมระดับโลกปรากฎว่า ผู้คนทั่วโลก กังวลเรื่อง “ภาวะเงินเฟ้อ” มากที่สุด นอกจากนี้สำหรับประเทศไทยดูเหมือนว่า ปัญหาสังคม จะเป็นประเด็นที่คนไทยมีความกังวลเป็นอันดับต้นๆ มาโดยตลอด ซึ่งผลสำรวจในครึ่งแรกของปี 2568 นี้ (H1 2025) ได้จัดลำดับความกังวลของคนไทยไว้ด้วย พบว่า คนไทยมองสังคมว่ากำลังวิกฤติมากถึง 77% และเป็นตัวเลขที่สูงสุดในโลก เปรียบเทียบกับอัตราเฉลี่ยทั่วโลกอยู่เพียงแค่ 61%


คนไทยเกินครึ่งที่ตอบแบบสอบถาม หรือ 56% คิดเห็นว่าประเทศไทยกำลังมาผิดทาง (Wrong Track) ขณะที่ความเห็นด้านความรู้สึกเปราะบางในสังคมและประเทศ (Society is Broken) พบว่า 66% ของคนไทยเชื่อว่าสังคมไทยกำลังตกอยู่ใน “ภาวะวิกฤติ” และ 60% มองว่าประเทศกำลังอยู่ใน “ภาวะถดถอย”


นอกจากนี้ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงความต้องการของประชาชนที่เรียกร้องหา “ผู้นำ” ที่มีความโดดเด่นและมีอำนาจในการจัดการแก้ไขปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดยพบว่า 79% ของคนไทยเรียกร้องให้มีผู้นำที่กล้าหาญพอที่จะ “แหกกฎ” เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ

คิดแบบ "เค้ก" คิดแบบ "Cakeism" กระแสที่แรงขึ้นเรื่อยๆ

 

อีกหนึ่งประเด็นน่าสนใจ ก็คือ ตอนนี้คนไทยกำลังมีแนวคิดแบบ Cakeism หมายถึง มนุษย์เงินเดือนที่ไม่ต้องการจ่ายภาษีเพิ่มแต่ต้องการให้รัฐบาลเพิ่มบริการสาธารณะเพื่อมาดูแลคุณภาพชีวิต


รายงานจากทางอิปซอสส์ด้านเศรษฐกิจ สำรวจพบว่าคนไทยเรามีแนวคิดแบบ “Cakeism” ปรากฎชัดเจน  ทั้งนี้ Cakeism เป็นการเปรียบเทียบเป็นก้อนเค้ก คือคนก็อยากได้ชิ้นใหญ่แต่ไม่อยากจ่ายเพิ่ม ซึ่งเกิดขึ้นกับคนชั้นกลางหรือมนุษย์เงินเดือนทั่วโลก เนื่องจากต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนบริการสาธารณะด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น สร้างถนน โรงเรียน โรงพยาบาล เพื่อทำให้การใช้ชีวิตดีขึ้น ต้องการได้สิทธิบริการสาธารณะต่างๆ แต่ไม่ต้องการจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นไปอีก 


รายงานระบุไว้ว่าในประเทศไทยพบว่าแนวคิดแบบ “Cakeism” ยังคงปรากฏชัด โดย 45% ไม่เห็นด้วยกับการจัดเก็บภาษีเพิ่ม เพื่อนำไปใช้ในการสนับสนุนการเพิ่มการใช้จ่ายของภาครัฐ แต่ในทางตรงกันข้าม 70% ของผู้ตอบแบบสอบถามกลับสนับสนุนให้มีการเพิ่มการใช้จ่ายในด้านบริการสาธารณะ


ทุกวันนี้ “มนุษย์เงินเดือน” เป็นกลุ่มที่จ่ายภาษีตรงสัดส่วนมากสุด แต่กลุ่มเหล่านี้มองว่าได้ไม่ได้รับบริการสาธารณะที่แตกต่างจากกลุ่มอื่นหรือสิ่งที่ต้องการ ปัญหาเหลื่อมล้ำทางสังคมก็ไม่ได้รับการแก้ไข จึงมองว่าหากต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นในสิ่งที่ยังไม่ได้บริการสาธาระที่ดี “คงเป็นเรื่องที่ไปไม่ได้”


นอกจากนี้การสำรวจครั้งนี้ ยังพบว่า ครึ่งปีที่ผ่าน หลายคน เจอกับปัญหาค่าใช้จ่าย หรือค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้เมื่อถามถึงค่าใช้จ่ายภายในบ้านในอีก 6 เดือนข้างหน้า คนไทยคาดว่าค่าใช้จ่ายทุกด้านจะ “เพิ่มขึ้น” (เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา)  โดยเรียงลำดับดังนี้ 

69% ค่าสาธารณูปโภค  (+10%)

66% ค่าเชื้อเพลิงรถยนต์   (+7%)

66% ใช้จ่ายด้านอาหาร   (+5%)

62% ค่าใช้จ่ายในการซื้อของใช้ในบ้านอื่นๆ   (+1%)

44% ค่าใช้จ่ายในการสังสรรค์ (+3% )

38% ค่าที่อยู่อาศัย  (+2%)

34% ค่าสมาชิกต่างๆ  (+3%)


สาเหตุหลักที่ทำให้ค่าครองชีพที่สูงขึ้น (เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา) มีดังนี้ 

81% ระดับอัตราดอกเบี้ยในประเทศ (+4%)

81% นโยบายของรัฐบาล (+4%)

81% สภาวะเศรษฐกิจโลก (+5%)

79% แรงงานเรียกร้องค่าตอบแทนที่สูงขึ้น (+4%)

77% ธุรกิจต่างๆ มุ่งทำกำไรมากเกินไป (+3%)


หลายปัจจัยรุมเร้าและกดดัน แต่ในขณะที่ความมั่นคงทางการงานที่ควรจะเป็นหลักมั่นในชีวิตก็ลดน้อยถอยลง รายงานระบุว่าคนไทยเกือบ 1 ใน 3 หวั่นใจว่าตัวเองอาจจะต้องตกงานในอีก 6 เดือนข้างหน้านี้   โดย 59% ระบุว่ารู้จักคนที่เพิ่งตกงานในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา  แม้กระทั่งความมั่นใจในงานของคนในครอบครัว และบุคคลใกล้ชิดก็น้อยลง ซึ่งส่งผลไปถึงความสามารถในการลงทุนเพื่ออนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเกษียณอายุหรือเพื่อการศึกษาของบุตรหลาน 

คนไทยกลัวจนไม่กล้าใช้เงินเยอะ

 

คนไทยใช้ชีวิตอยู่บนความกลัว โดยเฉพาะกังวลด้านเศรษฐกิจแย่ ส่งผลไปถึงกำลังซื้อในประเทศ หลายคนไม่อยากใช้เงินเยอะ มีไม่กล้าซื้อของชิ้นใหญ่ และของใช้ในบ้าน


คนไทย 65% มองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันกำลังย่ำแย่ลง ซึ่งตัวเลขนี้เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลกระทบรุนแรงขึ้นในทุกกลุ่มรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อย


ความเชื่อมั่นที่ลดลงนี้ทำให้คนไทยไม่กล้าใช้เงินเยอะ มีความลังเลในการจับจ่ายสินค้ามากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าชิ้นใหญ่ (Major Purchase) เช่น บ้าน รถยนต์ พบคนไทยเกินครึ่งหรือ 53% ที่รู้สึกไม่สบายใจที่จะซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ 


ไม่เพียงเท่านั้น ความกังวลยังขยายไปถึงการซื้อของใช้ในบ้านทั่วไป (Household Purchases) เช่น  ทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ โดยพบว่า 46% ของคนไทยรู้สึกไม่สบายใจในการซื้อของใช้ในครัวเรือนอื่นๆ 


ขณะที่ความคาดหวังว่าในอนาคตทุกอย่างจะดีขึ้น ก็ลดลงในทุกกลุ่มรายได้ มีผู้ตอบสำรวจเพียงแค่ 37% ที่คาดการณ์ว่าสถานะทางการเงินส่วนบุคคลจะดีขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้า และแน่นอนว่ากลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อย คือ กลุ่มที่หนักที่สุด มองไม่เห็นทางว่าครึ่งปีหลังนี้เศรษฐกิจทุกอย่างจะดีขึ้นได้ 


ด้านพฤติกรรมการบริโภคข่าวสารของคนไทย พบว่าครึ่งปีที่ผ่านมา คนไทยเลือกโซเชียลมีเดียช่องทางหลักที่เลือกใช้ในการติดตามข่าวสาร มากถึง 86%  ขณะที่ทีวีหรือโทรทัศน์กลายเป็นสื่อรอง อยู่ในอันดับที่ 2 มีสัดส่วนอยู่ที่ 57% และตามด้วยเว็บไซต์ และฟังจากเพื่อนและครอบครัว ตอกย้ำและสะท้อนถึงบทบาทที่สำคัญของแพลตฟอร์มดิจิทัลในชีวิตประจำวันของคนไทย


1. โซเชียลมีเดีย (Social media) 86%

2. โทรทัศน์ (TV news) 57%

3. ข่าวจากเว็บไซต์ (News websites) 52%

4. เพื่อนและครอบครัว (Friends/family) 36%

5. พอดแคสต์ (Podcasts) 18%

6. หนังสือพิมพ์ (Newspapers) 17%

7. วิทยุ (Radio) 11%

8. อื่นๆ 2%

9. ไม่ตอบ 2%


ที่สำคัญ ที่ต้องให้ความใส่ใจกันมากขึ้น คือ คนไทยให้การสนับสนุนธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมทางเพศ คนไทยเชื่อว่าการบรรลุความเท่าเทียมเป็นสิ่งสำคัญ แต่อย่างไรก็ตามสังคมไทยยังคงเผชิญกับความเหลื่อมล้ำ เรื่องความขัดแย้งระหว่างคนรวยกับคนจน คนต่างช่วงวัย แนวคิดเสรีนิยมกับค่านิยมดั้งเดิม 


ถามว่า ? ความเห็นเหล่านี้ส่งผลอย่างไรกับธุรกิจ และแบรนด์จะปรับกลยุทธ์ได้อย่างไร ?


ข้อเสนอแนะ จากกทาง “อิปซอสส์” แนะนำว่า ภาคธุรกิจหรือแบรนด์ต้องคืนกำไรสู่สังคมและสร้างผลกระทบเชิงบวก เมื่อผู้บริโภคเห็นว่าแบรนด์สนับสนุนสังคม  จะสามารถสร้างความรู้สึกเชิงบวกและเสริมสร้างความสัมพันธ์กับแบรนด์ นำไปสู่ Loyalty (ความภักดีที่ลูกค้ามีให้ต่อแบรนด์) และการสนับสนุนที่เพิ่มขึ้น


พร้อมกันนี้ยังต้องสร้างความเชื่อมั่นผ่านความโปร่งใส มีการดำเนินธุรกิจด้วยธรรมาภิบาลที่ดีจะส่งเสริมประสบการณ์เชิงบวกให้กับลูกค้า ด้วยการส่งเสริมความเป็นธรรม กระบวนการที่มีประสิทธิภาพ และการสื่อสารที่ชัดเจน 


* ที่มา : What Worries the World June 2025: สำรวจจากกลุ่มตัวอย่างผู้ใหญ่ 24,737 คน อายุ 16- 74 ปี ใน 30 ประเทศทั่วโลก รวมถึงกลุ่มตัวอย่างชาวไทย 500 คน อายุ 20-74 ปี เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 25 เมษายน – 9 พฤษภาคม 2568


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง