เศรษฐกิจไทยดีขึ้น "คลัง" ปรับคาดการณ์จีดีพี ปี 2568 โตเพิ่มเป็น 2.4% จากเดิม 2.2%

"คลัง" ปรับคาดการณ์จีดีพี ปี 2568 โตเพิ่มเป็น 2.4% จากเดิม 2.2% ปัจจัยส่งออกพุ่ง ผลนโยบายกระตุ้นปลายปี
นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังแถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.4%ปรับเพิ่มจากประมาณการครั้งก่อนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ 2.2% ต่อปี เนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงปลายปีที่คาดว่าจะกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้ขยายตัวได้ดีในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 และภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดีที่ 3 %
โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของภาครัฐ เช่น โครงการ“คนละครึ่ง พลัส” ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 และมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 10 % จากการเร่งส่งออกของภาคเอกชนตลอดทั้งปี โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาเเละตลาดจีนในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ที่ขยายตัวในระดับสูงที่ 26.4% เเละ 10.8 % ในสินค้าเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เเละผลิตภัณฑ์ยางเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ การบริโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 0.8% การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 5.6% และการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าขยายตัวที่ 1.7%
ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ -0.2% ลดลงจากประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากราคาพลังงานลดลงจากทั้งค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงตามนโยบายของภาครัฐและราคาพลังงานในตลาดโลกปรับตัวลดลง สำหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2568 มีแนวโน้มที่จะเกินดุล 20.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 3.5% ของ GDP
สำหรับในปี 2569 กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวชะลอลงที่ 2.0% ต่อปี เนื่องจากมีการเร่งส่งออกในปี 2568 เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีการค้าของสหรัฐเป็นสำคัญ โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะหดตัวที่-1.5% อย่างไรก็ดียังมีปัจจัยสนับสนุนมาจาก
1. ภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้น โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 35.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า จากความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ประกอบกับจะมีการจัดงานสำคัญต่าง ๆ เช่น งานมหกรรมพืชสวนโลกปี 2569 และการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank Group – WBG) ประจำปี
2. การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวได้ดี โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ที่ 2.4% ต่อปี
3. การลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ 3.0%จากการเร่งรัดการเบิกจ่ายและลงทุนของภาครัฐ
ขณะที่คาดว่าการบริโภคภาครัฐจะขยายตัวที่ 1.6% ต่อปี และการลงทุนภาคเอกชนคาดขยายตัวที่ 1.7% ซึ่งช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย
ด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0.5% ต่อปี ตามทิศทางอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวดี ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 15.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.5% ของ GDP
กระทรวงการคลังจะมีบทบาทสำคัญในการดำเนินนโยบายการคลังภายใต้แนวคิด “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” หรือ “Quick Big Win” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ดีขึ้นทั้งในระยะสั้นและยังคำนึงถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืนในระยะยาว โดยกำหนดการดำเนินงานเป็น 5 เสาหลัก ประกอบด้วย
1. การกระตุ้นเศรษฐกิจ
2. การลดภาระประชาชน โดยเฉพาะการแก้หนี้เสียภาคครัวเรือน (NPL)
3. การส่งเสริมธุรกิจ SMEs
4. เพิ่มการออมภาคประชาชน
5. การลงทุนเพื่ออนาคต นอกจากนี้ ต้องวางรากฐานทางการคลังเพื่อสร้างความมั่นคง ยั่งยืน เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ยังควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด อาทิ นโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ ผลกระทบทางอ้อมจากการไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทยมากขึ้น ทิศทางของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ระดับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชนและ SMEs รวมถึงการย้ายฐานการลงทุนและการผลิตในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
