รีเซต

"ค่ายรถญี่ปุ่น" 6 แบรนด์ดัง ตอบรับลงทุนไทย ปั้นฐานผลิตส่งออกยานยนต์ไฟฟ้า สร้างเงินกว่า 50,000 ล้านบาท

"ค่ายรถญี่ปุ่น" 6 แบรนด์ดัง ตอบรับลงทุนไทย ปั้นฐานผลิตส่งออกยานยนต์ไฟฟ้า สร้างเงินกว่า 50,000 ล้านบาท
TNN ช่อง16
11 ธันวาคม 2568 ( 08:00 )
14

"ค่ายรถญี่ปุ่น" ตอบรับลงทุนไทย ปั้นฐานผลิตส่งออกยานยนต์ไฟฟ้า ลุยอุตสาหกรรมใหม่ 50,000 ล้านบาท 


ไทยกวักมือเรียกทุนญี่ปุ่น อยากให้มาลงทุนมากขึ้น ล่าสุดบีโอไอก็ได้ไปโรดโชว์บุกไปถึงประเทศญี่ปุ่น เน้นกลุ่ม "ยานยนต์ - อิเล็กทรอนิกส์" และข่าวดีก็คือ ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นถึง 6 ค่าย ยืนยันว่าพร้อมจะเดินหน้าลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาทในไทย


ความหวังสำหรับภาคอุตสาหกรรมในไทย ในการแข่งขันสำหรับอนาคต ล่าสุด ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น 6 ราย  ไม่ว่าจะเป็น โตโยต้า ฮอนด้า อีซูซุ มาสด้า มิตซูบิชิ และนิสสัน ซึ่งเป็นค่ายรถมีฐานการผลิตขนาดใหญ่ในประเทศไทย ความชัดเจนว่าจะมีการผลิต HEV และ MHEV ในประเทศ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่จะช่วยสร้างเงินลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาท


ข้อมูลนี้เปิดเผยจากทางบีโอไอ หรือ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หลังจากทางคณะได้บุกไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 27 – 29 พฤศจิกายน  2568 ที่ผ่านมา และประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม  โดยนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ ระบุว่าบีโอไอร่วมกับ JETRO, ธนาคาร SMBC และพันธมิตรภาคธุรกิจญี่ปุ่น จัดสัมมนาใหญ่ “Thailand-Japan Investment Forum 2025” ณ Tokyo Kaikan กรุงโตเกียว เพื่อนำเสนอนโยบายและมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ และโอกาสการลงทุนสำหรับนักลงทุนญี่ปุ่น และงานนี้ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมาก มีผู้บริหารบริษัทชั้นนำจากญี่ปุ่นเข้าร่วมงานกว่า 450 คน ส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร เคมีภัณฑ์ พลาสติก อาหารแปรรูป รวมถึงกลุ่มธุรกิจบริการ เช่น สถาบันการเงิน ธุรกิจดิจิทัล การค้า และโลจิสติกส์ สะท้อนถึงความสนใจและการให้ความสำคัญของนักลงทุนญี่ปุ่นที่มีต่อประเทศไทย


โดยในงานสัมมนาดังกล่าวนี้ ทางด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาเปิดงานผ่านระบบออนไลน์ โดยย้ำถึงความสัมพันธ์ไทย–ญี่ปุ่นที่แข็งแกร่งมายาวนาน และบทบาทสำคัญของนักลงทุนญี่ปุ่นกว่า 6,000 บริษัทในประเทศไทย ซึ่งช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมหลักของไทย ทั้งยังระบุว่า ญี่ปุ่นยังคงเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มียอดขอรับการส่งเสริมรวมกว่า 1,400 โครงการ เม็ดเงินลงทุนรวมกว่า 4.2 แสนล้านบาท


นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้นำเสนอนโยบายรัฐบาล “Quick Big Win” โดยเฉพาะเสาที่ 5 ว่าด้วยการลงทุนเพื่ออนาคต ซึ่งมอบหมายให้บีโอไอขับเคลื่อนผ่าน 3 มาตรการหลัก ได้แก่ การจัดทำโครงการ Thailand Fast Pass เพื่อเร่งรัดการลงทุนโครงการสำคัญ การพัฒนาบุคลากรทักษะสูง 1 แสนคน และการยกระดับผู้ประกอบการไทยในซัพพลายเชนด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่


อีกทั้งได้ย้ำการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น โดยบอร์ดอีวีได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการผลิต HEV/Mild Hybrid และอยู่ระหว่างพิจารณามาตรการใหม่ ๆ เพิ่มเติม เช่น รถเก่าแลกรถใหม่ เป็นต้น


ในขณะที่เลขาธิการบีโอไอ ได้นำเสนอปัจจัยดึงดูดการลงทุนของไทย มาตรการส่งเสริมการลงทุนที่สำคัญ และโอกาสการลงทุนในสาขาเป้าหมาย โดยเน้น 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์แห่งอนาคต ได้แก่ อุตสาหกรรม Bio-Circular-Green (เกษตร อาหาร สุขภาพ และพลังงานสะอาด) อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง อุตสาหกรรมดิจิทัลและ AI และกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ซึ่งล้วนเป็นสาขาที่นักลงทุนญี่ปุ่นมีความเชี่ยวชาญและมีความสนใจออกไปลงทุนในต่างประเทศ


ที่สำคัญนอกจากงานสัมมนาใหญ่แล้ว บีโอไอยังได้หารือและเจรจาแผนการลงทุนร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น 6 ราย  ซึ่งต่างก็มีฐานการผลิตขนาดใหญ่ในประเทศไทย ได้แก่ โตโยต้า ฮอนด้า อีซูซุ มาสด้า มิตซูบิชิ และนิสสัน โดยค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นได้ขอบคุณรัฐบาลไทยที่เร่งสร้างความชัดเจนในมาตรการสนับสนุนการผลิต HEV และ MHEV ซึ่งจะช่วยสร้างเงินลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาท


และมีข้อเสนอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการเพิ่มเติม 3 ด้านสำคัญ คือ มาตรการช่วยกระตุ้นตลาดรถยนต์ในประเทศ มาตรการปกป้องผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ และมาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการส่งออกรถยนต์ ซึ่งบีโอไอได้ตอบรับที่จะนำข้อเสนอทั้งหมดไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและนำเสนอบอร์ดอีวีต่อไป




ภาคธุรกิจ "ไทย-ญี่ปุ่น" จับมือ จ้างงาน สร้างเงิน สร้างรายได้


คณะทำงานของไทยยังได้หารือกับนักลงทุนเป้าหมายและพันธมิตรสำคัญ ได้แก่ บริษัท Panasonic, บริษัท Toppan, ธนาคาร SMBC, ธนาคาร MUFG, กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) และ JETRO - บริษัท Panasonic ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่


ที่ผ่านมามีการจ้างงานบุคลากรไทยกว่า 10,000 คน โดยได้หารือโครงการลงทุนใหม่ ในการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่มูลค่า 4,000 ล้านบาท เพื่อผลิต MEGTRON วัสดุสำหรับผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับใช้ใน AI Server รวมทั้งได้หารือถึงการขยายกิจกรรมวิจัยและพัฒนาในไทย


รวมไปถึงบริษัท Toppan ผู้นำด้านเทคโนโลยีการพิมพ์ดิจิทัล และการพิมพ์ความปลอดภัยสูง มีบริษัทในไทย 5 แห่ง ผลิตบรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์ความปลอดภัยสูง เช่น บัตรเครดิต โดยบริษัทมองไทยเป็นจุดสำคัญในภูมิภาคและมีแผนขยายธุรกิจในไทยอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บีโอไอยังได้เชิญชวนให้พิจารณาขยายการลงทุนผลิต IC Substrate ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่เติบโตรวดเร็วและเป็นธุรกิจที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ 


ธนาคาร SMBC และธนาคาร MUFG  ได้หารือแนวทางในการสนับสนุนบริษัทญี่ปุ่นในไทยให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้ รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมสาขาใหม่ ๆ นอกจากนี้ ธนาคารยังมีข้อเสนอในการช่วยเหลือ SMEs ไทย ผ่านมาตรการ Supply Chain Financing ที่จะปล่อยสินเชื่อแก่ SMEs ไทยที่ได้รับการรับรองจากบริษัทญี่ปุ่นที่เป็นผู้จัดซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางธุรกิจให้กับ SMEs ด้วย


หน่วยงานรัฐของญี่ปุ่น ได้แก่ กระทรวง METI และ JETRO ได้หารือแนวทางสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างไทย-ญี่ปุ่น โดยเฉพาะการสนับสนุนการลงทุนของญี่ปุ่นในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ สุขภาพและการแพทย์ รวมทั้งการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถและความยั่งยืนของภาคธุรกิจญี่ปุ่นในไทย

"มาสด้า" ทุ่มทุน 5,000 ล้านบาท ใช้ไทยเป็นฐานผลิตส่งออก 100,000 คันต่อปี 


"มาสด้า" (MAZDA) ประกาศลงทุนเพิ่ม  5,000 ล้านบาท ใช้ประเทศไทยเป็นฐานผลิตรถ MHEV (Mild Hybrid Electric Vehicle)  กำลังผลิต 1 แสนคันต่อปี  เดินสายการผลิตปี 2570 ส่งออกไปญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อาเซียน


นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม2568 คณะผู้บริหารบริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จากประเทศญี่ปุ่น นำโดย นายมาซาฮิโระ โมโระ ประธานและผู้บริหารสูงสุด เข้าพบ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยเลขาธิการบีโอไอ ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อนำเสนอแผนการลงทุนในประเทศไทย 


หลังจากคณะกรรมการนโยบาย ยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ MHEV (Mild Hybrid Electric Vehicle) ซึ่งเป็นรถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า โดยกำหนดภาษีสรรพสามิตในอัตราคงที่เป็นเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2569 – 2575) ทำให้บริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ตัดสินใจลงทุนเพิ่มกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ประเภท MHEV ส่งออกไปตลาดต่างประเทศ โดยจะเริ่มลงทุนต้นปี 2569 คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในช่วงกลางปี 2570


ปัจจุบัน กลุ่มมาสด้ามีบริษัทในประเทศไทย 4 บริษัท ครอบคลุมธุรกิจด้านการผลิตรถยนต์ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ การจำหน่าย และการตลาดระดับภูมิภาค โดยได้จัดตั้ง บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (AAT) ร่วมกับ ฟอร์ด เพื่อเป็นฐานการผลิตรถยนต์สำคัญของภูมิภาค ทั้งรถกระบะและรถยนต์นั่ง ที่ผ่านมามีโครงการได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ 4 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 30,000 ล้านบาท 


นอกจากนี้ ยังจัดตั้งบริษัท มาสด้า พาวเวอร์เทรน แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (MPMT) เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักของเครื่องยนต์เทคโนโลยี SKYACTIV และเกียร์ในภูมิภาค มีโครงการได้รับการส่งเสริมการลงทุน 3 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 12,000 ล้านบาท 


การลงทุนผลิตรถยนต์ประเภท MHEV ในประเทศไทยครั้งนี้ จะเป็นการผลิตรถยนต์อเนกประสงค์รุ่น B-SUV กำลังการผลิต 1 แสนคันต่อปี โดยกว่า 60% จะเป็นการผลิตเพื่อส่งออกไปยังญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอาเซียน เนื่องจากบริษัทฯ และลูกค้าเชื่อมั่นในคุณภาพของรถยนต์ที่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) กว่าร้อยละ 70 อีกด้วย โครงการนี้นับเป็นก้าวแรกของบริษัทฯ ในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายที่ก้าวไปสู่การผลิตรถยนต์ไฮบริด (HEV) ต่อไปในอนาคต


มาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ MHEV


บอร์ดอีวีได้กำหนดภาษีสรรพสามิตในอัตราพิเศษ 10% (กรณีปล่อย CO2 ไม่เกิน 100 g/km) และ 12% (กรณีปล่อย CO2 ตั้งแต่ 101 – 120 g/km) โดยจะเป็นอัตราคงที่ในเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2569 – 2575) พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท อีกทั้งต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ โดยต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศตั้งแต่ปี 2569 และต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญ ได้แก่ Traction Motor หรือชิ้นส่วนที่มีลักษณะการทำงานเพื่อเสริมแรงขับเคลื่อน ตั้งแต่ปี 2571 และต้องมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS) อย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ 


นายนฤตม์ กล่าวว่า รัฐบาลและบอร์ดอีวี มีเป้าหมายชัดเจนในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยียานยนต์จากยานยนต์สันดาปภายใน (ICE) ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ (xEV) ทั้ง BEV, PHEV, HEV และ MHEV เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท รวมทั้งเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาค การประกาศลงทุนครั้งใหญ่ของมาสด้า ด้วยกำลังการผลิตที่สูงถึง 1 แสนคันต่อปี เพื่อใช้ไทยเป็นฐานส่งออกไปประเทศต่างๆ รวมถึงส่งกลับไปที่ญี่ปุ่นด้วย นับเป็นอีกหมุดหมายสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ตอกย้ำว่าประเทศไทยเดินมาถูกทาง และยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนและผู้บริโภคมีต่อประเทศไทยว่าสามารถผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานระดับโลก

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง