รีเซต

"โตโยต้า" มาถูกทาง ยอดขาย "รถไฮบริด" พุ่งสูงสุด ตอบโจทย์กว่ารถไฟฟ้า เอาตัวรอดวิกฤต "ภาษีทรัมป์"

"โตโยต้า" มาถูกทาง ยอดขาย "รถไฮบริด" พุ่งสูงสุด ตอบโจทย์กว่ารถไฟฟ้า เอาตัวรอดวิกฤต "ภาษีทรัมป์"
TNN ช่อง16
9 ธันวาคม 2568 ( 08:00 )
28

"โตโยต้า" ทำถึง ยอดขาย "รถไฮบริด" พุ่งกระฉูด ทำสถิติสูงสุด สวนทางค่ายรถญี่ปุ่นเจ้าอื่น รายได้-กำไรวูบหนักจาก "ภาษีทรัมป์"  


พระเอกขี่ม้าขาวที่มาช่วยโตโยต้าในปีนี้ ก็คือ รถไฮบริด ล่าสุดบริษัทโตโยต้า  (Toyota Motor Corp.) เปิดเผยว่า การผลิตรถยนต์ทั่วโลกของโตโยต้าในเดือนตุลาคม 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี ไปแตะระดับที่ 926,987 คัน ทำสถิติการผลิตในเดือนเดียวที่สูงที่สุดเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี  แรงหนุนมาจากความแข็งแกร่งของยอดขายรถยนต์ไฮบริดในตลาดอเมริกาเหนือ


สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า แม้ว่าโตโยต้าซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกในแง่ของปริมาณ จะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น แต่ปรากฎว่ายอดขายทั่วโลกของบริษัทเพิ่มขึ้น 2.1% แตะระดับ 922,087 คันในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นนิวไฮ หรือระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับเดือนตุลาคมของทุก ๆ ปี และทำสถิติสูงกว่าระดับของปีก่อนหน้าเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน


ด้านการผลิตในต่างประเทศของโตโยต้าก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.2% แตะระดับ 600,155 คัน ซึ่งสูงกว่าระดับของปีก่อนหน้าเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน 


โดยเฉพาะการผลิตในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 26.4% แตะระดับ 137,262 คัน โดยการผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์หลักที่ใหญ่ที่สุดของโตโยต้านั้น เป็นแรงขับสำคัญของตัวเลขรอบนี้ สามารถปรับตัวบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ด้วยตัวเลขที่โตถึงสองหลัก ซึ่งมีการฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่เคยถูกกระทบจากการระงับการผลิต สาเหตุเพราะว่ามีปัญหาการเรียกคืนรถยนต์บางรุ่นเมื่อปีที่แล้ว ขณะเดียวกันก็ได้แรงหนุนจากความต้องกาหรือดีมานด์รรถยนต์ไฮบริดที่แข็งแกร่งในเวลานี้ 


แต่ว่าสำหรับจีนถือว่าอยู่ในทิศทางตรงกันข้าม ตลาดไม่ค่อยสดใสมากนัก มีรายงานว่าการผลิตในจีนลดลง 6.4% มาอยู่ที่ระดับ 132,834 คัน แม้กระทั่งยอดขายในจีนก็ลดลง 6.6% มาอยู่ที่ระดับ 160,886 คัน 


สาเหตุสำคัญมาจากมาตรการอุดหนุนของรัฐบาลจีนได้สิ้นสุดลงไปแล้ว และเป็นแรงกระแทกตลาดครั้งใหญ่ เพราะจีนถือเป็นตลาดหลักในเอเชียของโตโยต้า


ส่วนทิศทางของตลาดในประเทศญี่ปุ่น ข้อมูลระบุว่าการผลิตภายในญี่ปุ่นของโตโยต้า เพิ่มขึ้น 6.8% แตะระดับ 326,832 คัน ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัว หลังจากเกิดเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการรับรองผลการทดสอบรถยนต์เมื่อปีที่แล้ว(2567) แต่ยอดขายในประเทศหดตัวลงไป 4% สู่ระดับ 137,506 คัน เป็นการสะท้อนแรงกดดันจากเศรษฐกิจและการแข่งขันในตลาดภายในประเทศญี่ปุ่นดินแดนแห่งค่ายรถที่ยังคงดุเดือดร้อนแรงอยู่ 


แต่สำหรับภาพรวมของยอดขายในต่างประเทศของโตโยต้าเพิ่มขึ้น 3.3% แตะระดับ 784,581 คันในเดือนตุลาคมซึ่งเป็นระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับเดือนตุลาคมของทุก ๆ ปี


เมื่อแยกเป็นรายประเทศพบว่า ยอดขายในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 11.8% แตะที่ 207,910 คัน ขณะที่ยอดขายในอินเดียพุ่งขึ้น 37.1% สู่ระดับ 41,664 คัน โดยได้รับแรงหนุนจากการที่รัฐบาลออกมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการซื้อรถยนต์


ทั้งนี้เมื่อรวมตลอด 10 เดือนแรกของปีนี้ โตโยต้ามียอดขายรวม 8.7 ล้านคัน รถไฮบริดเป็นฮีโร่ของตลาดคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 42% ของยอดขายทั้งหมด ส่วนรถไฟฟ้าแบตเตอรี่เต็มรูปแบบยังมีสัดส่วนไม่ถึง 2% 


การลุยด้านรถไฮบริด ถือเป็นเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ และมาถูกทางสำหรับโตโยต้า  เพื่อตอบโจทย์ตลาดทั่วโลก  เนื่องในวันนี้ผู้ใช้รถในหลายประเทศต้องการเทคโนโลยีประหยัดเชื้อเพลิง แต่ก็ยังมีความกังวลเรื่องรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบหรืออีวี จากโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่พร้อมในหลายประเทศ ดังนั้นไฮบริดจึงเป็นคำตอบที่ถูกต้อง  



"ค่ายรถญี่ปุ่น" อ่วม กำไรหาย รายได้วูบ เหตุ "ภาษีทรัมป์"


ปีนี้เป็นที่หนักหน่วงสำหรับค่ายรถ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ที่เจอกับภาษีทรัมป์ ที่ตั้งกำแพงนำเข้าไว้สูงเสียดฟ้า กระทบต่อกำไรในครึ่งปีแรก หนักที่สุดนับตั้งแต่ยุคโควิด 19 


ทางการสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เดินหน้าจัดเก็บภาษีนำเข้ากับญี่ปุ่นในอัตรา 27.5% และได้มีผลบังคับใช้เกือบตลอดช่วงเดือนเมษายน ถึงกันยายนที่ผ่านมา ก่อนที่ล่าสุดจะมีการปรับลดเหลือ 15% เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา


สำนักข่าวนิกเคอิเอเชียรายงานว่า 7 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯไปแล้ว รวมมูลค่า 9.7 พันล้านดอลลาร์  ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 และมีเพียงค่ายโตโยต้า มอเตอร์เจ้าเดียวเท่านั้นที่รอด เพราะมียอดขายรถยนต์ไฮบริดในตลาดสหรัฐฯ มาช่วยเอาไว้ 


รายงานผลประกอบการล่าสุด พบว่า ภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐส่งผลกระทบต่อรายได้รวมของ 7 ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นถึง 1.5 ล้านล้านเยน ในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2568 (เมษายน-กันยายน 2568) ส่งผลให้ 7 ค่ายใหญ่มีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีลดลงทุกบริษัทเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมา


กำไรสุทธิรวมของผู้ผลิตรถยนต์ทั้ง 7 รายในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่เกือบ 2.1 ล้านล้านเยน  ลดลงประมาณ 30% จากปีก่อน และลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่สองติดต่อกัน โดยหากไม่มีปัจจัยผลกระทบจากภาษีนำเข้า และอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่ากำไรสุทธิรวมน่าจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก


นอกจากผลกระทบด้านลบจากภาษีนำเข้าแล้ว ญี่ปุ่นยังเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อเจอกับความท้าทายเรื่องของค่าเงิน เมื่อค่าเงินเยนของญี่ปุ่นที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลกระทบทำให้ค่ายรถยนต์รายใหญ่ทั้งเจ็ดรายของประเทศมีกำไรจากการดำเนินงานรวมลดลง 7 แสนล้านเยน โดยเฉพาะ 3 ค่ายที่ขาดทุนสุทธิ ได้แก่ นิสสัน มอเตอร์, มาสด้า มอเตอร์, และมิตซูบิชิ มอเตอร์ส


และเป็นที่คาดว่าภาษีนำเข้าจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นทั้ง 7 ราย ประมาณ 2.5 ล้านล้านเยน หรือราว 5.2 แสนล้านบาท ในปีงบประมาณ 2568 (สิ้นสุดเดือนมี.ค.2569)



จับตา "มาสด้า" และ "ซูบารุ" สองค่ายรถญี่ปุ่น เจอแรงกระแทกหนักจากการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ


ที่สำคัญต้องจับตาไปที่  "มาสด้า" และ "ซูบารุ" เป็นสองบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้ามากที่สุด เพราะตลาดหลักอยู่ในอเมริกาเหนือ  


สำหรับมาสด้ามีตลาดสหรัฐฯ สัดส่วนประมาณ 30% ของยอดขายทั่วโลกของมาสด้า และเนื่องจากรถยนต์ส่วนใหญ่ส่งออกไปจากญี่ปุ่น กำแพงภาษีศุลกากรจึงทำให้กำไรของมาสด้าลดลงถึง 9.71 หมื่นล้านเยนในช่วงครึ่งปีงบประมาณ และยังเป็นการขาดทุนสุทธิครั้งแรกในรอบ 5 ปีของมาสด้า


ด้านซูบารุก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากยอดขายถึง 80% มาจากตลาดสหรัฐฯ แม้ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นมาได้บ้างจากการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่สุดท้ายก็ไปเจอกับรายจ่ายที่มีมูลค่า สูงถึง 1.54 แสนล้านเยน จากภาษีศุลกากรที่ทรัมป์ที่เรียกเก็บ และทำให้กำไรหายไปเกือบทั้งหมดทันที ได้ลบล้างกำไรทั้งหมดไป และปมเรื่องภาษีน่าจะมีไปอีกยาว ถึงขั้นว่าซูบารุต้องเริ่มโครงการลดต้นทุน วงเงิน 2 แสนล้านเยนภายในปี 2030


รถไฮบริด เซฟหรือช่วยชีวิต "โตโยต้า" เอาไว้ในปีนี้ได้ ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดเลือดพล่านในตลาดรถอีวี หรือไฟฟ้าก็ตาม และยังเจอกับแรงกดดันจากภาษีการค้าของทางสหรัฐฯ ที่เป็นบททดสอบที่ไม่ง่ายเลยทีเดียวหลังจากนี้ไป 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง