น่าห่วง "ธุรกิจครอบครัว" ของคนไทย ปรับตัวช้ากว่าโลก วิ่งไม่ทันเทรนด์ เสี่ยงฉุดรั้งการเติบโต

"ธุรกิจครอบครัวไทย" Family Business ปรับตัวช้ากว่าโลก วิ่งไม่ทันเทรนด์โลกดิจิทัล เสี่ยงฉุดรั้งการเติบโต
เตือนธุรกิจครอบครัวในประเทศไทย ยอดขายโตลดลงอย่างต่อเนื่อง ย้ำต้องเร่งวิ่งตามเทรนด์โลก ปรับตัวให้ทันกับยุคดิจิทัล ที่สำคัญต้องระวังความขัดแย้งกันเองในครอบครัว ที่จะส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจได้
ข้อมูลจาก PwC ประเทศไทย เปิดเผยผลสำรวจล่าสุดพบธุรกิจครอบครัวไทย (Family business) ในตอนนี้ ต้องเจอกับมรสุม ทั้งแรงกดดันจากเศรษฐกิจที่ผันผวนและปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้กระทบต่อยอดขาย ซึ่งรายงานพบว่ามีผู้บริหารในธุรกิจครอบครัวไทย มากถึง 28% รายงานว่ายอดขายลดลง ซึ่งเป็นการหดตัวที่หนักมากขึ้นเท่าตัวเมื่อนับจากระดับ 14% เมื่อปี 2566 เป็นการสะท้อนว่าการทำธุรกิจในวันนี้ความท้าทายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลและการนำ AI มาใช้ ซึ่งพบว่าธุรกิจครอบครัวไทยยังไม่นิยมนำมาใช้มากเท่าไหร่นัก และจะกลายเป็นสิ่งที่มาฉุดรั้งการเติบโตในอนาคตได้
เมกะเทรนด์หลัก 3 ด้านที่กำลังมากระแทกธุรกิจครอบครัวไทย อ้างอิงจากรายงานผลสำรวจธุรกิจครอบครัวทั่วโลก ครั้งที่ 12 ฉบับประเทศไทย ประกอบไปด้วย
- ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ (69%)
- พฤติกรรมและความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง (53%)
- ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามการค้าและเสถียรภาพในประเทศ (44%)
นางสาว อมรรัตน์ เพิ่มพูนวัฒนาสุข หัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจครอบครัว และหุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชี บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า ธุรกิจครอบครัวไทยกำลังเจอบททดสอบอย่างหนักจากแรงกดดันจากเมกะเทรนด์สำคัญ ๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายการค้า รวมไปถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แม้ปีที่ผ่านมาธุรกิจครอบครัวไทยบางส่วนยังเติบโตได้ในระดับตัวเลขสองหลัก แต่ธุรกิจอีกอีกจำนวนไม่น้อยที่ยอดขายลดลง สถานการณ์นี้มีทั้งโอกาสและอุปสรรค ธุรกิจที่มีความสามารถในการปรับตัวและความเข้าใจเชิงกลยุทธ์จึงจะอยู่รอดได้
รายงานล่าสุดระบุว่า ธุรกิจครอบครัวไทยส่วนใหญ่ยังคงยึดแนวทางการเติบโตแบบมั่นคงในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปตามกรอบอนุรักษนิยมของธุรกิจครอบครัว และยังขาดความตื่นตัวในการปฏิรูปธุรกิจเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งแตกต่างจากแนวโน้มทั่วโลกที่มีความกระตือรือร้นมากกว่า (ทั่วโลก 3% มีการขับเคลื่อนนวัตกรรมเชิงปฏิวัติ)
ยุคนี้และยุคหน้า คือ โลกแห่งเอไอ แต่ปรากฎว่าธุรกิจครอบครัวไทยยังคงให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีและ AI ต่ำกว่าทั่วโลก
ผลสำรวจพบว่า ผู้บริหารเพียงแค่ 36% ที่มองว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับทั่วโลกที่ 65%
นอกจากนี้ผู้นำธุรกิจครอบครัวไทยส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัลและการนำระบบอัตโนมัติมาประยุกต์ใช้จะเพิ่มโอกาสในการเติบโตได้ และมีเพียง 22% เท่านั้นที่ลงทุนเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและ AI (เทียบกับ 39% ทั่วโลก) ขณะที่ปัจจุบันนี้มีธุรกิจครอบครัวไทยเพียงแค่ 3% เท่านั้นที่ได้ลองทดสอบหรือใช้งาน AI หรือปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (generative AI: GenAI) ในองค์กรบ้างแล้ว
แต่อย่างไรก็ตามข้อดีหรือจุดแข็งของธุรกิจครอบครัวไทย คือ ความคล่องตัว และความไว้วางใจ
รายงานระบุว่า ธุรกิจครอบครัวไทยที่สามารถปรับตัวตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว มีแนวโน้มที่จะสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและบรรลุผลลัพธ์เชิงพาณิชย์อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ในด้านการให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและความไว้วางใจ ผลสำรวจพบว่าผู้นำธุรกิจครอบครัวไทยส่วนใหญ่เกินครึ่ง ( 58%) ระบุว่า การรักษาชื่อเสียงของธุรกิจครอบครัวนั้นมีความสำคัญมาก (เทียบกับ 78% ทั่วโลก) และมองว่าธุรกิจของพวกเขาได้รับความไว้วางใจและมีชื่อเสียงในสายตาของลูกค้า พนักงาน และคู่ค้ามากกว่าธุรกิจทั่วไป (44%) (เทียบกับ 74% ทั่วโลก) ขณะเดียวกัน (47% ) เกือบครึ่งยอมรับว่ามีความขัดแย้งภายในครอบครัวบ้างบางครั้ง ( เทียบกับ 38% ทั่วโลก)
คำแนะนำสำหรับ "ธุรกิจครอบครัวไทย" คือ ต้องเร่งปรับตัวเชิงกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน
นางสาว อมรรัตน์ เน้นย้ำว่า ในยุคที่เทคโนโลยีสมัยใหม่กำลังพลิกโฉมเศรษฐกิจโลก ธุรกิจครอบครัวไทยจำเป็นต้องปรับวิสัยทัศน์และก้าวข้ามกรอบความคิดเดิม เริ่มจากการปรับโครงสร้างองค์กรให้คล่องตัวขึ้น แล้วต่อยอดด้วยการลงทุนในนวัตกรรม AI หรือเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ เพื่อสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืนในระยะยาว ที่สำคัญควรกำหนดเป้าหมายธุรกิจให้ชัดเจน ดูแลชื่อเสียงขององค์กร และสร้างความไว้วางใจทั้งกับสมาชิกในครอบครัวและกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย การขับเคลื่อนกลยุทธ์เหล่านี้ ไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นคง แต่ยังเปิดโอกาสและศักยภาพการแข่งขันใหม่ ๆ ในอนาคตด้วย
ธุรกิจครอบครัว เป็นอีกรากฐานสำคัญ สำหรับเศรษฐกิจ ทั้งไทย และทั่วโลก
ธุรกิจครอบครัวยังคงเป็นแกนนำสำคัญของเศรษฐกิจโลก ทั้งในแง่มูลค่าทางการเงิน จำนวนบริษัท และความมั่นคงระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มที่มีขนาดใหญ่และเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลจากรายงาน Deloitte Private (2025) พบว่า ธุรกิจที่มีรายได้อย่างน้อย 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจัดว่าเป็นธุรกิจครอบครัว (family business) มีสัดส่วนประมาณ 22% ของธุรกิจทั้งหมดในกลุ่มนั้นทั่วโลก ตัวเลขธุรกิจครอบครัวในกลุ่มรายได้มากกว่าหรือเท่ากับ 100 ล้านดอลลาร์ ณ ปัจจุบันอยู่ที่ ประมาณ 18,087 บริษัทและคาดว่า จะเพิ่มไปเป็น 19,744 บริษัท ภายในปี 2030 เพิ่มขึ้น ประมาณ 22% จาก 2020
สำหรับไทย ธุรกิจครอบครัว คือ กลุ่มธุรกิจหลักในไทย ทั้งในระดับ SMEs และบริษัทใหญ่ที่จดทะเบียน โดยมีจำนวนมากและมีน้ำหนักทางเศรษฐกิจ ทั้งการจ้างงาน มูลค่าตลาด และบทบาทต่อภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ
เช่น ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีการศึกษาในช่วงมิถุนายน 2024 พบว่า ประมาณ 80% ของธุรกิจทั้งหมดในประเทศไทย (เฉพาะกลุ่ม SMEs) เป็นธุรกิจครอบครัวเล็ก/ขนาดกลาง (SMEs) และในส่วนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น (SET + MAI): จากทั้งหมด 852 บริษัท พบว่า 575 บริษัท (ประมาณ 67%) ถูกจัดว่าเป็นธุรกิจครอบครัว และกลุ่มนี้คิดเป็น ประมาณ 50% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมดของตลาดหลักทรัพย์ไทย
โดยปัจจุบันนี้ธุรกิจครอบครัวในไทยครองบทบาทสำคัญในภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ตั้งแต่อาหารและเครื่องดื่ม ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์ พลังงาน สาธารณูปโภค พาณิชย์ บริการ และสื่อ/สื่อสิ่งพิมพ์ ฯลฯ
ดังนั้นแสดงให้เห็นว่าคำว่าครอบครัว ไม่ใช่เฉพาะธุรกิจเล็ก ๆ แต่ยังหมายรวมถึงหลายบริษัทใหญ่ที่มีบทบาทในอุตสาหกรรมหลักของประเทศด้วยเช่นกัน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
