รีเซต

"BYD" เสิร์ฟ "สงครามราคา" ในประเทศญี่ปุ่น ลดสูงสุด 1 ล้านเยน เกมใหญ่ วัดใจแบรนด์รอยัลตี้

"BYD" เสิร์ฟ "สงครามราคา" ในประเทศญี่ปุ่น  ลดสูงสุด 1 ล้านเยน เกมใหญ่ วัดใจแบรนด์รอยัลตี้
TNN ช่อง16
28 ตุลาคม 2568 ( 08:00 )
16

 ศึก EV จีน ปะทะ ญี่ปุ่น  "BYD" จัดสงครามราคา ลดสูงสุด 1 ล้านเยน งัดข้อค่ายรถในประเทศ วัดใจแบรนด์รอยัลตี้


ค่ายรถไฟฟ้าจากจีน เดินเกมบุกตลาดญี่ปุ่น ด้วยการลดราคาครั้งใหญ่ ไพ่ตายไม้เด็ด ที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว ในหลายประเทศ 


บีวายดี (BYD) ค่ายรถไฟฟ้าสัญชาติจีนที่กำลังมาแรงที่สุดในโลก กำลังเดินเกมครั้งใหม่ ในการบุกตลาดญี่ปุ่น หลังจากเข้ามาทำการตลาดแล้วกว่า 2 ปี มีเครือข่ายโชว์รูมกว่า 45 แห่ง  แต่ปรากฎว่ายอดขายกลับไม่กระเตื้องเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะล่าสุดกับตัวเลข 5,300 คันในรอบกว่า 1 ปี ครั้ง ชัดเจนว่าบีวายดี ยังห่างไกลจากการเป็นผู้นำของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่ค่ายรถจากจีนจะตัดสินใจใช้ไม้เด็ดที่เคยทำมา นั่นคือ การลดราคา หรือทำสงครามราคา ที่เคยประสบความสำเร็จสร้างยอดขายชนะคู่แข่งจนกลายเป็นผู้นำตลาดมาแล้วทั้งในประเทศจีน และอีกหลายประเทศทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย


ข่าวรายงานว่า บีวายดีในญี่ปุ่น ได้ให้ข้อเสนอส่วนลดสูงสุดถึง 1 ล้านเยน  และเมื่อรวมกับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ จะช่วยให้บีวายดีสามารถหั่นราคาขายปลีกลงไปได้มากถึงครึ่งหนึ่ง เช่น รถรุ่น Atto 3 ที่ปกติจำหน่ายในราคาเกือบ 4.2 ล้านเยน อาจเหลือเพียงครึ่งราคาเท่านั้น  


แต่อย่าลืมว่า นี่คือประเทศญี่ปุ่น การเล่นเกมสงครามราคาเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องผิดปกติในประเทศนี้ เพราะปกติแล้วค่ายรถญี่ปุ่นหรือผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศจะไม่นิยมแข่งขันกันลดราคา เพราะต้องการปกป้องมูลค่าของตลาด  และยังไปกระทบต่อลูกค้าหรือคนที่ซื้อรถไปก่อนที่ต้องจ่ายแพงกว่าที่เสี่ยงจะสร้างความไม่พอใจได้ และยังมีผลต่อเนื่องไปถึงราคาขายต่อในอนาคต ซึ่งนักวิเคราะห์ยานยนต์ชี้ให้เห็นเลยว่ากลยุทธ์นี้จะก่อให้เกิดผลเสียในระยะยาวมากกว่าที่คาดคิดได้ 


ประเด็นสำคัญ คือ  ประเทศญี่ปุ่นเป็นจ้าวแห่งรถยนต์ เป็นผู้นำระดับโลกมายาวนาน และคนในชาติเองก็มีความจงรักภักดีต่อแบรนด์ในประเทศ โดยเฉพาะโตโยต้า  และอุตสาหกรรมยานยนต์ก็เป็นรายได้หลักของประเทศด้วย เป็นขาที่สำคัญของเศรษฐกิจ ดังนั้นการซื้อรถในท้องถิ่น ย่อมหมายถึงรายได้ และปากท้องของคนญี่ปุ่นเองด้วย รวมไปถึงความมั่นใจในคุณภาพของรถและค่านิยมของคนญี่ปุ่น ที่ยังคงเลือกใช้รถยนต์แบบไฮบริดมากกว่าจะเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ และที่ผ่านมา ก็มีค่ายรถยนต์ต่างชาติหลายเจ้าที่พยายามเข้ามาแต่ก็ไปไม่รอดเช่นกัน  เช่น เจนเนอรัล มอเตอร์สที่เคยถอนแบรนด์ Saturn ออกจากตลาด ส่วนฮุนไดก็เพิ่งกลับเข้ามาทำตลาดอีกครั้งหลังจากยกเลิกไปตั้งแต่ปี 2009


การบุกญี่ปุ่นสำหรับบีวายดีจึงไม่ใช่เรื่องง่าย สวนทางกับกระแสในยุโรปที่ยอดขายกำลังพุ่งแรง ล่าสุดบริษัทคาดว่าการส่งออกไปยุโรปจะมีสัดส่วนมากเกิน 20% ของยอดขายรวมภายในปีนี้  นับเป็นตลาดสำคัญ เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่บีวายดีใช้ในการช่วยกระจายสินค้า และมาช่วยลดแรงกดดันจากศึกในประเทศ ที่ตอนนี้มีการแข่งขันกันเองของค่ายรถจีนในประเทศอย่างดุเดือดเลือดพล่าน และแน่นอนว่าการลดราคาก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักของทุกค่าย 


สำหรับภาพรวมในปีนี้ ล่าสุดบีวายดีคาดการณ์ว่ายอดส่งออกรถยนต์ในปีนี้จะมีสัดส่วนถึงประมาณ 20% ของยอดขายทั่วโลก โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ โดยรายงานของหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ (SCMP) รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของ หลี่ หยุนเฟย ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายแบรนด์และประชาสัมพันธ์ของ BYD เมื่อช่วงเดือนปลายกันยายนที่ผ่านมา  ระบุว่า บริษัทคาดการณ์ยอดส่งมอบรถยนต์นอกจีนแผ่นดินใหญ่ในปีนี้ว่าจะอยู่ที่ 800,000 ถึง 1 ล้านคัน จากยอดขายรวมทั้งสิ้น 4 ล้าน 6 แสนคัน


ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ก่อนหน้านี้ ที่ระบุว่า BYD ได้ปรับลดเป้ายอดขายสำหรับปี 2568 ลงถึง 16% เหลือ 4 ล้าน 6 แสนคัน เนื่องจากบริษัทกำลังเผชิญกับอัตราการเติบโตรายปีที่ชะลอตัวที่สุดในรอบ 5 ปี และมีสัญญาณว่ายุคแห่งการเติบโตแบบก้าวกระโดดอาจกำลังจะสิ้นสุดลง


โดยนายหลี่กล่าวว่า ยอดขายในตลาดต่างประเทศจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในอนาคต พร้อมทั้งระบุว่าเรือขนส่งรถยนต์ของบริษัทเองเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนการส่งออกให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ในปีที่แล้ว( 2567) ยอดขายนอกจีนแผ่นดินใหญ่ของ BYD คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% จากยอดส่งมอบทั้งหมด 4 ล้าน 2 แสน 6 หมื่นคัน


แต่อย่างไรก็ตามยอดขายของบีวายดี ในยุโรป ล่าสุดสามารถแซงหน้า เทสลา (Tesla) ติดต่อกัน 2 เดือนที่สอง จากรายงานของรอยเตอร์ ซึ่งอ้างข้อมูลจาก ACEA ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้ยิสต์ยานยนต์ยุโรป ระบุว่าบีวายดีมียอดขายรถยนต์ใหม่ในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (อียู) เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาในปีนี้ เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่า  เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว 


ขณะที่ยอดขายของเทสลา ในอียูลดลง 36.6% ทำให้ส่วนแบ่งตลาดลดลงจาก 2% ในปีที่แล้ว เหลือเพียง 1.2% สวนทางกับยอดขายของบีวายดี ที่เพิ่มขึ้นถึง 201.3% เมื่อเทียบเดือนเดียวกันของปีก่อน ทำให้ส่วนแบ่งตลาดแซงขึ้นเป็น 1.3% 



ตลาดอีวีทั่วโลกยังโตแกร่ง  8 เดือนแรกทำยอดสูงสุดเป็นประวัติการณ์  


ตลาดญี่ปุ่นอาจจะเจาะยาก แต่หากมองภาพรวมทั่วโลกตอนนี้ ดูเหมือนว่า รถอีวียังคงไปได้สวย ล่าสุด ยอดขายรถยนต์ EV ทั่วโลก ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนกันยายนที่่ผ่านมา


บริษัทวิจัยตลาด Rho Motion ระบุว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (EV) และรถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 26% ในเดือนกันยายนที่ผ่านมาของปีนี้ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2ล้าน1แสนคัน  โดยยอดขายในจีนคิดเป็นสัดส่วนราว 2 ใน 3 ของยอดขายทั่วโลก หรือราว 1 ล้าน 3 แสนคัน  


และประเทศจีน นับเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก  ทำยอดกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ซึ่งในข้อมูลของ Rho Motion ระบุรวมทั้งรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบและรถปลั๊กอินไฮบริด และโดยปกติแล้วเดือนกันยายน จะเป็นเดือนที่ยอดขายรถในจีนคึกคักที่สุดของปี มียอดขายเพิ่มขึ้นเพราะผู้บริโภคเร่งซื้อรถเพื่อใช้ประโยชน์จากเงินอุดหนุนโครงการแลกเปลี่ยนรถเก่า ก่อนที่บางภูมิภาคจะเริ่มยกเลิกมาตรการดังกล่าว


ขณะที่ในสหรัฐฯ ความต้องการซื้อพุ่งสูงเช่นกัน เนื่องจากผู้บริโภคต้องการใช้สิทธิ์เครดิตภาษีรถ EV มูลค่า 7,500 ดอลลาร์ ที่กำลังจะหมดอายุ อย่างไรก็ตาม Rho Motion คาดว่าความต้องการในไตรมาส 4 จะลดลงแรง หลังจากที่ทั้งผู้บริโภคและธุรกิจหมดสิทธิ์ เข้าถึงแรงจูงใจภาษีของรัฐบาลกลางที่เคยเป็นตัวผลักดันสำคัญของตลาด EV


ยอดขายในยุโรปทำสถิติสูงสุดใหม่เช่นกัน ด้วยยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 36% เป็น 427,541 คัน โดยได้แรงหนุนจาก มาตรการอุดหนุนในเยอรมนีและอุปสงค์ในอังกฤษ ขณะที่การเปิดตัว Tesla Model Y ราคาประหยัดในยุโรป คาดว่าจะยิ่งทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และยังสะท้อนถึงการขยายตัวของตลาดรถยนต์พลังงานสะอาดทั่วโลก


อย่างไรก็ตามในช่วงปลายปีนี้ และปีหน้าจับตากันให้ดี เพราะกระแสทุกอย่างอาจจะแผ่วลงจากหลายปัจจัย ความเห็นจาก ชาร์ลส์ เลสเตอร์ ผู้จัดการฝ่ายข้อมูลของบริษัทวิจัย Rho Motion กล่าวว่า เมื่อแรงจูงใจทางภาษีสิ้นสุดลง ความต้องการในสหรัฐจะลดลงอย่างมากในไตรมาสสุดท้ายของปี และค่ายรถบางราย ไม่ว่าจะเป็น General Motors และ Hyundai จะพยายามบรรเทาผลกระทบด้วยการลดราคาและระบายสต็อกในดีลเลอร์ แต่โดยรวมแล้ว เราจะได้เห็นว่ามีค่ายรถหลายรายเริ่มชะลอการผลิตลง จากความต้องการของตลาดที่หดตัวลง 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง