"ซานาเอะ ทาคาอิจิ" นายกฯหญิงคนแรกของญี่ปุ่น ลุยฟื้นเศรษฐกิจ

นายกฯหญิงคนแรกของญี่ปุ่น ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ "ซานาเอะ ทาคาอิจิ" เจ้าของฉายา สตรีเหล็กแห่งญี่ปุ่น เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ สู้กับภาวะเงินเฟ้อ
"ซานาเอะ ทาคาอิจิ" ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา มาแทนที่นายชิเงรุ อิชิบะ ที่ลาออกจากตำแหน่งไปหลังจากรับตำแหน่งเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น และได้ทำให้ "ทาคาอิจิ" นักการเมืองหญิง วัย 64 ปี จากพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือแอลดีพี (Liberal Democratic Party - LDP) ได้สร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศญี่ปุ่น
การเมืองในประเทศญี่ปุ่นมีความท้าทายอย่างยิ่ง มีการเปลี่ยนหัวผู้นำประเทศบ่อยครั้ง และ ทาคาอิจิ ก็นับเป็นนายกฯของญี่ปุ่นคนที่ 4 ในรอบ 5 ปี จึงเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกหนึ่งครั้งที่ต้องจับตา ท่ามกลางความหวังของประชาชน ขณะที่พรรคแอลดีพีของทาคาอิจิ ก็กำลังพยายามอย่างยิ่งเช่นกันที่จะฟื้นความเชื่อมั่้นให้กลับคืนมา หลังจากคะแนนนิยมตกต่ำเพราะเรื่องอื้อฉาวทางการเมือง
และทันทีหลังจากรับตำแหน่ง นายกฯทาคาอิจิ ก็ได้เดินเกมเร็ว ประกาศออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ทันที โดยย้ำว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยของเธอจะให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก พร้อมกับยืนยันว่าไม่มีแนวคิดเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ก่อนกำหนด
โดยสื่อรายงานว่า มาตรการชุดใหญ่ หรือแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวที่จะออกมาหลังจากนี้ จะพุ่งเป้าไปที่การช่วยเหลือภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจโดยตรง เพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ และมีแนวโน้มว่าเม็ดเงินที่ลงไปในครั้งนี้จะมากกว่าแพ็กเกจในปีก่อน หรือกว่า 13.9 ล้านล้านเยน (หรือประมาณ 3 ล้านล้านบาท) ภายใต้แนวคิด นโยบายการคลังเชิงรุกที่มีความรับผิดชอบ
โดยโครงการนี้จะยึดหลักสามประการ ได้แก่ มาตรการเพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ การลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต และความมั่นคงแห่งชาติ
ทาคาอิจิให้คำมั่นว่า จะยกเลิกอัตราภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงชั่วคราวโดยเร็ว และขยายเกณฑ์รายได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษีจากปัจจุบันที่ 1.03 ล้านเยน โดยจะ “รับฟังความเห็นจากพรรคฝ่ายค้าน” พร้อมกล่าวว่า มาตรการทางเศรษฐกิจเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้สุทธิของประชาชนและลดภาระของครัวเรือน
มาตรการดังกล่าวได้รวมถึงการให้เงินอุดหนุนค่าไฟฟ้าและแก๊สในช่วงฤดูหนาว พร้อมกับเงินช่วยเหลือระดับภูมิภาค เพื่อบรรเทาแรงกดดันด้านราคา นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ขึ้นค่าแรงและเพิ่มการลงทุน
นอกจากนี้ยังมีเสาหลักสำคัญอีก 2 ประการ ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของญี่ปุ่นครั้งนี้ คือ การเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการป้องกันประเทศ โดยเรียกร้องให้มีการลงทุนในภาคส่วนเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งรวมถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเซมิคอนดักเตอร์ ตลอดจนการเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานสำหรับสินค้าสำคัญ
สำหรับหนึ่งในโจทย์ใหญ่ของญี่ปุ่นในวันนี้ คือ อัตราเงินเฟ้อของผู้บริโภคยังคงสูงกว่าหรือเท่ากับเป้าหมายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่ 2% มาอย่างยาวนานกว่า 3 ปี ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ทยอยขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลสูงขึ้น
ขณะที่ทาคาอิจิ ให้คำมั่นว่าจะเพิ่มขนาดเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเป็น 2 เท่าภายในระยะเวลา 10 ปี ด้วยการลงทุนจากภาครัฐอย่างมหาศาลในด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไปจนถึงด้านโครงสร้างพื้นฐาน และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ
โดนก่อนหน้านี้ การมาของทาคาอิจิ ได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ทาคาอิจิ เทรด” ในตลาดหุ้นโตเกียว เมื่อดัชนีหุ้นนิกเกอิพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดอยู่หลายวัน นับตั้งแต่วันที่ตลาดรับรู้ข่าวว่าเธอได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคแอลดีพีคนใหม่ จากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งทางการเงินและการคลัง ในสไตล์อาเบะ หรือ “อาเบะโนมิกส์” แต่อย่างไรก็ตามขณะเดียวกันการมาของเธอก็ทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับความสามารถของรัฐบาลญี่ปุ่นที่จะอัดฉีดมาตรการกระตุ้น ท่ามกลางภาระหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง ดังนั้นผลลัพธ์คือ ค่าเงินเยนและราคาพันธบัตรกลับร่วงลง
"ญี่ปุ่น" กับศึกสงครามการค้าโลก ภาษีทรัมป์ คือ ความท้าทายครั้งใหญ่
สตรีเหล็กของญี่ปุ่น นอกจากจะเจอกับปัญหาด้านปากท้องด้านเศรษฐกิจแล้ว ศึกนอกอย่างสงครามการค้า สงครามภาษี รวมไปถึงเรื่องความมั่นคงก็เป็นภารกิจใหญ่เช่นกัน
นายกฯหญิงของญี่ปุ่น ทาคาอิจิ นับว่าเป็นนักการเมืองสายอนุรักษนิยมที่มีจุดยืนที่แข็งกร้าว และยังเป็นลูกศิษย์ทางการเมืองของอดีตนายกฯชินโซ อาเบะ ผู้ล่วงลับ เจ้าของแนวคิด อาเบะโนมิกส์ อีกด้วย แต่วันนี้ปัจจัยท้าทายของญี่ปุ่นต่างจากสมัยของนายกฯชินโซ อาเบะไม่น้อย ดังนั้นการจะงัดตำราเดิมออกมาสู้ทั้งหมด อาจจะไม่ใช่คำตอบที่เธอเลือกก็เป็นได้ โดยเฉพาะภาวะการค้าโลกที่กำลังเจอกับแรงกดดันอย่างหนักจากผู้นำที่ชื่อโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมาพร้อมกับการขึ้นภาษีครั้งใหญ่ ปั่นป่วนไปทุกอุตสาหกรรม
เธอระบุว่าจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบรรเทาผลกระทบเชิงลบจากมาตรการภาษีการค้าที่สูงขึ้นของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ รวมถึงทำการตอบสนองต่อดีลภาษีที่ตกลงไว้กับทางการสหรัฐฯ โดยเฉพาะโครงการลงทุนที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้คำมั่นกับสหรัฐฯไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะลงทุนมากถึง 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในภาคส่วนสำคัญของสหรัฐ เพื่อแลกกับการลดภาษีตามข้อตกลง
ขณะที่สหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีที่เป็นมิตรทันที หลังจากทราบข่าวการเปลี่ยนผู้นำคนใหม่ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า เราหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับญี่ปุ่นต่อไปเพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และผลประโยชน์ร่วมกัน” พร้อมเสริมว่าพันธมิตรทวิภาคีคือ “รากฐานสำคัญของสันติภาพ ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกและทั่วโลก ซึ่งไม่เคยแข็งแกร่งเท่านี้มาก่อน
ซึ่งการได้รับเลือกของทาคาอิจิเกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนเอเชียในการเยือนครั้งแรกนับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ เมื่อเดือนมกราคม
ขณะที่ "โทชิมิทสึ โมเทกิ" รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นคนใหม่ กล่าวว่า ญี่ปุ่นวางแผนที่จะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเสริมกำลังทหารให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วต่อสภาพความเป็นจริงในการทำสงครามที่เปลี่ยนแปลงไป และความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค โดยตัวเขาหวังว่าการพบกันระหว่างทรัมป์กับทากาอิจิในการเยือนญี่ปุ่นของทรัมป์ จะเป็นโอกาสให้ทั้งสองผู้นำหารือถึงแนวทางการเสริมสร้างพันธมิตรญี่ปุ่น–สหรัฐให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมกับสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ไว้เนื้อเชื่อใจกันได้มากขึ้น
โมเทกิยังกล่าวด้วยว่า ญี่ปุ่นหวังที่จะเพิ่มความร่วมมือกับเกาหลีใต้ รวมถึงประเทศพันธมิตรในภูมิภาคอื่นๆ เช่น ออสเตรเลียและฟิลิปปินส์ ขณะเดียวกันก็ต้องการรักษาความสัมพันธ์ที่มั่นคงและสร้างสรรค์กับจีน
โดยประเด็นด้านความมั่นคง ทั้งการทูต และกลาโหม เป็นสิ่งที่ต้องจับตา ภายใต้ผู้นำอย่างทากาอิชิ เพราะเธอขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่มีมุมมองที่แข็งกร้าวด้านความมั่นคง จึงเป็นที่จับตาว่าเธออาจนำพาญี่ปุ่นไปสู่บทบาทเชิงรุกทางทหารมากขึ้นได้ โดยเธอกล่าวด้วยว่า รัฐบาลจะเริ่มดำเนินการทบทวนเอกสารด้านความมั่นคงที่สำคัญของประเทศ รวมถึงยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติด้วย
"ญี่ปุ่น" ออกรายงานชี้เศรษฐกิจฟื้นตัวปานกลาง กังวล "ภาษีทรัมป์" กระทบภาคยานยนต์
สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจประจำเดือนตุลาคม 2568 โดยระบุว่า รัฐบาลญี่ปุ่นยังคงมีมุมมองว่าเศรษฐกิจภายในประเทศกำลังฟื้นตัวปานกลาง แต่ยังคงเตือนว่า การที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นในอัตราที่สูงขึ้นนั้น กำลังส่งผลกระทบต่อภาคยานยนต์
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นได้คงการประเมินภาวะเศรษฐกิจโดยรวมไว้ที่ระดับดังกล่าวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ซึ่งสะท้อนให้ว่าองค์ประกอบหลักที่รัฐบาลใช้ในการพิจารณาการเติบโตเศรษฐกิจนั้น มีการฟื้นตัว เช่น การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวระบุว่า ผลกระทบที่เกิดจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ได้ปรากฏให้เห็นเป็นส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ขณะเดียวกันก็ประเมินว่าการส่งออกอยู่ในระดับ “เกือบทรงตัว”
รายงานของสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นระบุว่า หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่นในอัตราสูงเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ยอดการส่งออกรถยนต์จากญี่ปุ่นไปยังสหรัฐฯ ก็เริ่มลดลงอย่างรวดเร็วในเดือนกรกฎาคม 2568 อย่างไรก็ดี ในเดือนกรกฎาคมนั้น ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์จาก 27.5% เหลือ 15% ซึ่งมีผลบังคับใช้ในช่วงกลางเดือนก.ย.
สำหรับองค์ประกอบอื่น ๆ สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ปรับลดการประเมินภาวะการล้มละลายของบริษัทเอกชนเป็นครั้งแรกในรอบ 33 เดือน จากเดิมที่ประเมินว่า “เกือบทรงตัว” เป็น “ดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้” โดยอ้างถึงจำนวนธุรกิจที่ล้มละลายมากขึ้น ท่ามกลางภาวะขาดแคลนแรงงาน
รายงานภาวะเศรษฐกิจประจำเดือนฉบับนี้ถือเป็นฉบับแรกนับตั้งแต่ซานาเอะ ทาคาอิจิ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 โดยรายงานฉบับล่าสุดนี้ยังได้สะท้อนถึงจุดยืนทางเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีทาคาอิจิที่ให้คำมั่นที่จะสร้าง “เศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง” ผ่านการขยายตัวทางการคลังเชิงรุกและมีความรับผิดชอบ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
