‘สุพัฒนพงษ์’ ชี้ถึงเวลาบูสต์อัพประเทศไทย หลังผ่านจุดต่ำสุด-เปิดมาประเทศสำเร็จ
เวลา 09.10 น. วันที่ 3 พฤศจิกายน นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวภายในงานสัมมนา BOOST UP THAILAND 2022 โดยกล่าวปาฐกถาพิเศษ Boost Up ทุบโจทย์ใหม่ เศรษฐกิจไทย จัดขึ้นโดยหนังสือพิมพ์มติชน ว่า ปัจจุบันไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หลังจากนี้ต้องเดินหน้าต่อ ซึ่งในประเทศตะวันตกเริ่มเห็นความหวังแล้ว จากเดิมที่ก่อนหน้านี้สู้แบบไม่มีความหวังว่าวัคซีนจะมาเมื่อไหร่ แต่เราก็สู้มาหลายครั้งแล้ว แต่จากการแพร่ระบาดเมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมาเป็นเชื้อสายพันธุ์ใหม่ เพราะการแพร่ระบาดกระจายรวดเร็วกว่าเดิม ทำให้ผลกระทบไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทย แต่เกิดขึ้นทั่วภูมิภาค เราเห็นบางประเทศมีการติดเชื้อโควิด-19 จำนวนหลักเดี่ยว กลายเป็นหมื่นรายเช่นเดียวกันไม่ต่างจากไทย ซึ่งทุกคนตกใจ ในเรื่องสาธารณสุขไม่เพียงพอ เจ้าหน้าที่มีความอ่อนล้า และยอมรับว่า ณ วันนั้นประชาชนขุ่นเคือง พยายามเรียกร้องหาวัคซีน ซึ่งเหตุการณ์นี้เพิ่งผ่านมาเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว ก่อนหน้าการเดินทางไปต่างประเทศต้องคิดแล้วคิดอีก ภาพต่างจากวันนี้ ที่มีคนไทยบางกลุ่มเดินทางไปต่างประเทศเพื่อฉีดวัคซีน
“ที่ผ่านมารัฐบาลต้องทำงานแข่งกับเวลาเต็มที่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศฉีดวัคซีนให้ได้ 70% ของประชากร หรือประมาณ 50 ล้านคน ต้องได้ฉีดครบ 2 เข็ม ภายในปี 2564 แต่ประชาชนไม่เชื่อมั่น ซึ่งก็ก้มหน้าก้มตาทำ และพยายามร่วมมือกับทุกภาคส่วน อาทิ หน่วยงานด้านสาธารณสุข และภาคเอกชน” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้ ถึงเวลาเดินหน้าการกระตุ้นเศรษฐกิจ (บูสต์อัพ) ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็มาในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา โดยการรักษาการผลิต ได้แก่ ภาคการส่งออกมีโครงการบับเบิ้ลแอนด์ซีล และฉีดวัคซีนให้ภาคอุตสาหกรรม เพื่อรักษาการผลิต-การส่งออกสามารถดำเนินการได้อย่างดี รวมถึงไม่เลิกล้มการเดินหน้าเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่เราเคยสร้างรายได้หลักที่หายไปในช่วงโควิด คือ ภาคการท่องเที่ยว โดยได้เริ่มโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาแล้ว เป็นการตีอกชกลมเพื่อเตรียมพร้อมในการเปิดประเทศ ซึ่งประสบความสำเร็จ เพราะถือเป็นต้นแบบที่ทั่วโลกจับตามอง เป็นการท่องเที่ยวแบบปลอดภัย ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจองห้องพักล่วงหน้าเกือบ 1 ล้านคืนแล้ว
สำหรับการเยียวยาต่างๆ สามารถเยียวยาในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะพื้นที่สีแดงเข้ม ตอนนี้ทุกคนอาจลืมไปแล้วว่าเมื่อเดือนกรกฎาคม ประเทศไทยเป็นสีแดงทั้งแผ่นดิน ซึ่งขณะนี้ ได้ทยอยเปลี่ยนสีดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่พื้นที่สีแดงเข้มรัฐบาลพยายามเยียวยาให้ครบทุกภาคส่วน แตกต่างกันไปตามผลกระทบที่ได้รับ ช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ผ่านไปเร็วเหลือเกิน แต่สำหรับรัฐบาลเวลาดูช้าเหลือเกิน เพราะต้องบริหารจจัดการทุ่มเททรัพยากรทุกอย่าง เพื่อควบคุมการระบาด และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไว้ให้ได้ รวมถึงดูแลเยียวยาประชาชนให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด และวันนี้เราก็ผ่านมาจนสามารถกลับมาเจอหน้ากันได้ จากที่ก่อนหน้านี้ต้องเจอกันผ่านออนไลน์ ซึ่งเราสามารถรักษาเสถียรภาพ ความเข้มแข็งทางการเงินการคลังให้อยู่นระดับที่ดีถึงวันนี้ได้ สะส้อนได้จากสถาบันจัดอันดับยืนยันว่าไทยยังมีเสถียรภาพครบทุกอย่างเพียงพอที่จะเดินหน้าต่อไป
“แม้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในปีนี้ อาจไม่ได้สูงถึง 4% ที่เคยระบุไว้ก่อนหน้า เนื่องจากมีการระบาดโควิด-19 เกิดขึ้นรุนแรง วันนี้เราจะต้องเริ่มกันใหม่ โดยมีบทเรียนจากที่ผ่านมา การทำงานเชิงรุกยังดำเนินการอยู่แม้ในช่วงการแพร่ระบาด รวมถึงการเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อก และนำมาสู่การเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ถือว่าเริ่มกันอีกครั้งบนความมั่นใจ และบทเรียนที่ได้เรียนรู้ แต่ทุกคนจะต้องเริ่มด้วยความเข้าใจของทุกคนที่เป็นประชาชน ว่าต้องรักษาวินัยการควบคุมการแพร่ระบาด การมีวัคซีน และการได้รับการฉีดวัคซีน ไม่ได้ทำให้เราป้องกันการติด ยังสามารถติดเชื้อได้ แต่อาการจะทุเลาหรือเบาลง ต้องรักษาวินัยเรื่องการรักษาการเว้นระยะห่างต่างๆ” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว