เรามาแน่ แม้คุณไม่เลือก ! ทั่วโลกเข็นรถบรรทุกไฟฟ้าเข้าประจำการ
ปัจจุบันนี้ กระแสรักษ์โลกกำลังมาแรง ทำให้รถยนต์ไฟฟ้า EV ได้รับความนิยมมหาศาล ตอบโจทย์ทั้งการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ประหยัดพลังงาน และช่วยลดมลพิษ เข้ากับกระแสภาพรวมของโลกยุคปัจจุบัน
เช่นเดียวกับการใช้รถในสหรัฐอเมริกา และยุโรป และจีน โดยเฉพาะรถบรรทุกไฟฟ้า ที่กำลังมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ว่ากันว่าเหล่ารถบรรทุกหนักที่เปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้านี้ จะกลายเป็นอนาคตของการขนส่งในภาคธุรกิจ ด้วยปัจจัยความคุ้มค่าที่เหนือกว่าเครื่องยนต์สันดาป และอีกหลากหลายข้อดี
ในการสำรวจของแซมซารา (Samsara Inc.) บริษัท IoT (Internet of Things) สัญชาติอเมริกัน เผยว่า บริษัทขนส่ง และภาคอุตสาหกรรมกว่า 90% ระบุว่า รถไฟฟ้าจะเข้ามามีบทบาทธุรกิจยานพาหนะมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2023 จำนวนรุ่นรถบรรทุกไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นถึง 195 รุ่น ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปี 2019
สำหรับการที่บริษัทต่าง ๆ นำรถบรรทุกไฟฟ้ามาใช้ จะขอแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ แรงจูงใจภายในและแรงจูงใจภายนอก
แรงจูงใจภายใน
แรงจูงใจภายในที่ใหญ่ที่สุดสำหรับรถบรรทุกไฟฟ้า คือ “เงิน” โดยการจะรักษาสถานะธุรกิจที่แข็งแกร่ง และยั่งยืนได้ จะต้องพิจารณาจากความสามารถในการลดค่าใช้จ่ายหลักออกไป เช่น การลดต้นทุนเชื้อเพลิง, การลดต้นทุนการบำรุงรักษา และการลดต้นทุนการดำเนินงานโดยรวม
อาร์ค (ARC) บริษัทที่ปรึกษาด้านความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ เผยว่า ในการสำรวจตลาดหลัก 3 แห่งที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงที่สุด ซึ่งได้แก่ ยุโรป จีน และสหรัฐอเมริกา พบว่า รถบรรทุกไฟฟ้ามีต้นทุนค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรต่ำกว่าเมื่อเทียบกับรถบรรทุกทั่วไปที่ใช้น้ำมัน
ขณะที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ราคาชุดแบตเตอรี่ลดลงมาอยู่ที่ราว 122 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 4,300 บาท ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ลดลง 95% จากเหตุผลเหล่านี้ จึงไม่แปลกที่ตลาดรถบรรทุกไฟฟ้าจะเริ่มมีความคึกคักอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ที่มาของรูปภาพ Volvo
แรงจูงใจภายนอก
ส่วนแรงจูงใจภายนอกที่ทำให้การนำรถ EV มาใช้ในภาคธุรกิจขนส่งเกิดขึ้น คือนโยบายส่งเสริม และกฎหมายควบคุมอัตราการปล่อยมลพิษของทางการ
สำหรับมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนที่โดดเด่น ขอยกตัวอย่างในเคสของสหรัฐฯ เช่น ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับพลังงานสะอาด หรือ California ACT ของคณะกรรมการทรัพยากรอากาศแคลิฟอร์เนีย (California Air Resources Board) ซึ่งก่อตั้งมาเพื่อพยายามลดสิ่งก่อมลพิษ ปกป้องสุขภาพของประชาชน และเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง โดยหมวดหนึ่งของตัวกฎหมายนี้จะกำหนดให้บริษัทขนส่งขนาดใหญ่ ต้องมีรถบรรทุกไฟฟ้าอย่างน้อย 100 คันขึ้นไป
ด้านสหภาพยุโรป มีกฎหมายระบุว่า ตั้งแต่ปี 2025 ผู้ผลิตจะต้องมีมาตรการด้านคาร์บอนไดออกไซด์ที่เข้มงวดมากขึ้น และภายในปี 2039 ผู้ผลิตรถบรรทุก จะขายเฉพาะรถที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ส่วนผู้ผลิตรถบรรทุกรายใหญ่รายอื่น ๆ ทั้งหน้าใหม่ หน้าเก่า ก็กำลังเปลี่ยนไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ นำเสนอการวิจัย ที่ระบุว่า ภายในปี 2030 การซื้อรถบรรทุกที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ามาใช้ จะมีค่าใช้จ่ายลดลงกว่าครึ่ง เมื่อเทียบกับรถบรรทุกทั่วไปบนท้องถนนที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซล
ที่มาของรูปภาพ Hyundai
ทั้งยังมีนโยบายโครงการ SuperTruck 3 จากสำนักงานโครงการเงินกู้ กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ที่มีงบประมาณราว 127 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 4.4 พันล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการวิจัยและพัฒนาในการยกระดับความสามารถรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดกลางและขนาดใหญ่ของบริษัทเอกชน รวมถึงงบประมาณจากการพัฒนากฎหมายโครงสร้างพื้นฐาน 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 267,056,250,000 บาท ที่พึ่งผ่านการรับรองเมื่อปีที่แล้ว ก็จะช่วยสนับสนุนให้มีการสร้างสถานีชาร์จและเติมพลังงานในทั่วประเทศ
จากนโยบายเหล่านี้ยิ่งช่วยส่งเสริมให้บริษัทผู้ผลิตรถบรรทุกไฟฟ้า และรถบรรทุกที่ใช้เชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำรายใหญ่ เช่น Daimler, Ford, Navistar, กำลังเร่งเปิดตัวรถไฟฟ้ารูปแบบต่าง ๆ เช่นรถตู้พลังงานไฟฟ้า รถบรรทุกพ่วง รถกึ่งพ่วงระยะไกล ในอัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทำไมต้องรถบรรทุกไฟฟ้า
คนส่วนใหญ่กำลังมีความเห็นพ้องกันว่า ต้องเปลี่ยนโครงข่ายระบบขนส่งให้เป็นไฟฟ้าและปราศจากคาร์บอน และต้องจัดการยานพาหนะที่ก่อมลพิษอย่างเด็ดขาด
การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากท่อไอเสียของการขนส่งสินค้าทางถนนทั่วโลกอยู่ที่ 2.9 กิกะตันต่อปี และยอดผู้เสียชีวิตทั่วโลกจากมลพิษของเครื่องยนต์ดีเซลมีมากกว่า 180,000 รายต่อปี
ตัวเลขที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ ขณะที่รถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่มีอัตราส่วนอยู่ที่ 6% ของยานพาหนะบนท้องถนนในสหรัฐฯ แต่ทว่ากลับปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสัดส่วนถึง 29% ของระบบขนส่งทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ กฎหมายที่กำหนดให้รถบรรทุกปรับมาใช้เป็นรถไฟฟ้าจึงเริ่มมีมากขึ้นในสหรัฐฯ และบรรดาประเทศที่เป็นผู้นำเทคโนโลยีรถไฟฟ้า
ทั่วโลกขานรับกระแสรถบรรทุกไฟฟ้า
สำหรับในยุโรป รถโดยสาร รถขนขยะ รถตู้ส่งของ และรถบรรทุกในเหมือง ถูกเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าแล้วประมาณ 1 ใน 3 ของการใช้เชื้อเพลิงในกลุ่มกิจการธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งตามข้อบังคับกฎหมายยุโรป น้ำหนักตัวรถเปล่าของรถบรรทุกดีเซลถูกจำกัดอยู่ที่ 1 ใน 3 ของน้ำหนักบรรทุกสูงสุดของรถ
ขณะที่การขนส่งสินค้าในยุโรป ราว 50-60% มีระยะทางขนส่งน้อยกว่า 500 กิโลเมตร ผู้ให้บริการขนส่งที่ใช้รถบรรทุกไฟฟ้า จะเพิ่มน้ำหนักบรรทุกได้อีกประมาณ 15% ที่มีระยะทำการน้อยกว่า 500 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมของเหล่าบริษัทผู้ผลิตรถไฟฟ้า
สมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งยุโรป (ACEA) คาดว่า ภายในปี 2030 จะมีรถบรรทุกไฟฟ้า 200,000 คันโลดแล่นอยู่บนท้องถนน หรือประมาณ 4% ของจำนวนยานพาหนะทั้งหมด
ขณะที่ประเทศจีนเองก็มีบทบาทเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำการใช้รถบรรทุกไฟฟ้า โดยบริษัท BYD บริษัทเทคโนโลยียานยนต์ชื่อดังจากจีน ได้เปลี่ยนรถบรรทุกเครื่องยนต์สันดาป 15,000 คันที่ใช้ในมหานครเซินเจิ้นเป็นรถบรรทุกไฟฟ้า รวมถึงรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดเล็กและรถตู้ไฟฟ้าไปแล้วกว่า 60,000 คัน
จากแนวโน้ม และตัวเลขเหล่านี้ บ่งบอกได้ว่า ทิศทางและกระแสการใช้รถบรรทุกไฟฟ้ากำลังกระจายไปในทั่วทุกทวีป และไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ที่แม้จะยังไม่มีนโยบายที่ออกมาเพื่อสนับสนุนรถบรรทุกไฟฟ้าโดยเฉพาะ แต่ก็มีการเคลื่อนไหวจากภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2021 บริษัทซีพี โฟตอน (CP FOTON) ได้เปิดตัวรถเพื่อการพาณิชย์พลังงานไฟฟ้า 100% พร้อมกัน 5 รุ่น ซึ่งถือเป็นเจ้าแรกของเมืองไทยที่นำรถเพื่อการพาณิชย์พลังงานไฟฟ้าเข้ามาเปิดตัว และทำการตลาดอย่างเป็นทางการ
และปัจจุบัน ซีพี โฟตอนกำลังนำรถเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเต็มตัว พร้อมกับเปิดศูนย์ซ่อมบำรุงและจัดจำหน่าย 25 แห่งทั่วประเทศแล้ว
ที่มาของรูปภาพ FOTON
จุดอ่อนของรถไฟฟ้าที่ต้องแก้ไข
อย่างไรก็ตาม คาดว่ารถไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ และรถไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง จะเข้ามาครอบครองตลาดรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดเล็กและขนาดกลางในระยะอันใกล้ แต่ไม่ใช่รถบรรทุกทุกประเภท ที่จะพร้อมเปลี่ยนไปเป็นรถไฟฟ้าในทันที
โดยรถบรรทุกขนาดใหญ่ในงานอุตสาหกรรม จะเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ยากที่สุด โดยรถบรรทุกหนักเหล่านี้ จะยังคงเป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) และเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้เชื้อเพลิงดีเซลและก๊าซธรรมชาติอยู่
แต่เชื่อได้ว่าคงไม่นานเกินรอที่เทคโนโลยีแบตเตอรี่จะถูกพัฒนาจนถึงขีดสุด จนสามารถใช้งานได้ในรถบรรทุกหนัก โดยเบื้องต้น มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2035 รถบรรทุกเกือบทุกคันจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และเป็นไปได้ที่อนาคตอันใกล้ เราอาจจะมีเมืองต้นแบบ ที่เป็นเมืองรถไฟฟ้า 100% เพื่อชะลอสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับคนทั้งโลก
ที่มาของข้อมูล
ที่มาของรูปภาพ
Volvo, FOTON, Hyundai