รีเซต

"เวียดนาม" จ่อล้ม "ไทย" ตั้งเป้าเบอร์หนึ่ง ท่องเที่ยว"อาเซียน"

"เวียดนาม" จ่อล้ม "ไทย"   ตั้งเป้าเบอร์หนึ่ง  ท่องเที่ยว"อาเซียน"
TNN ช่อง16
7 เมษายน 2568 ( 08:00 )
21

เวียดนามหวังจะแซงหน้าประเทศไทย 

อยากจะขึ้นเป็น"เบอร์หนึ่ง"การท่องเที่ยวในอาเซียน 

โดยตัวเลขปีที่ผ่านมาก็มีการเติบโตอย่างน่าสนใจ

และตัวเแปรสำคัญของเวียดนาม คือ นักท่องเที่ยวชาวอินเดีย 


เวียดนาม เป็นหนึ่งในชาติที่กำลังมีเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างร้อนแรง

และนอกจากภาคอุตสาหกรรมแล้ว ภาคการท่องเที่ยวหรือบริการ ก็เป็นอีกหนึ่งขา อีกเครื่องยนต์

ที่ทางการเวียดนามกำลังเร่งส่งเสริมเพื่อมาสร้างเม็ดเงิน

เพื่อมากระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศได้

และยังมาพร้อมกับความทะเยอทะยานอันแรงกล้า 

มาแล้วต้องเป็นที่หนึ่ง ประกาศตั้งเป้าขอขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งชาติอาเซียน 

แทนที่ประเทศไทย  


สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานเรื่องนี้ระบุว่า 

ทางการเวียดนามได้ตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศมากถึง 23 ล้านคนในปีนี้  

ถือเป็นเป้าหมายที่สูงกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 

ขณะที่ BMI Research คาดว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศจะฟื้นตัวเต็มที่ในปี 2568


โดยเวียดนามได้ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ไปถึง 31% ในปีนี้  

หลังจากปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวเวียดนามค่อนข้างสดใส

จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาอยู่ที่ 17.5 ล้านคน

พุ่งขึ้นกว่า 39.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน 


มีนักท่องเที่ยวจากอินเดียเข้าเวียดนามมากถึง 501,000 รายในปี 2567 

เพิ่มขึ้น 2.6 เท่า เมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา 

ตอนนี้เวียดนามจึงกลายเป็นตลาดที่มีการเติบโตที่น่าประทับใจที่สุดแห่งหนึ่ง

โดยเฉพาะในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 



ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามได้กล่าวเอาไว้เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่ผ่านมาว่า

เวียดนามมีเป้าหมายที่จะทำให้การท่องเที่ยว

เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลัก

เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ในช่วงก่อนเกิดโรคระบาด 

การท่องเที่ยวคิดเป็นประมาณ 12% ของจีดีพี 

หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของประเทศเวียดนาม 


อินเดีย ถือเป็นตลาดสำคัญที่ทำให้เวียดนาม มีการเติบโตด้านการท่องเที่ยวอย่างสดใส

คนอินเดียแห่มาเที่ยวเวียดนามเพิ่มขึ้นๆอย่างต่อเนื่อง 


เป้าหมายของเวียดนามคือเบอร์หนึ่ง แต่ในขณะนี้ประเทศไทยกำลังนั่งบัลลังก์ครองแชมป์อยู่

แต่เก้าอี้นี้กำลังจะถูกเลื่อยขาและเขย่าให้สั่นคลอน


แม้ว่าปีที่ผ่านมาประเทศไทยสามารถครองแชมป์ ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน

จากยอดผู้มาเยือน 35.5 ล้านคนในปี 2567 แต่ถ้ามองจากเติบโต เวียดนามกลับเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุด 

ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยว 17.5 ล้านคนในปีที่แล้ว  เพิ่มขึ้นแรงถึง 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

เวียดนามจึงเหมือนนักวิ่งฝีเท้าดี ที่กำลังพุ่งแซงหน้าไทยในไม่ช้า 






สำนักข่าวซินหัวรายงานคาดการณ์ว่าเวียดนามจะมีรายได้จากบริการด้านการท่องเที่ยวในปี 2567 

สูงถึง 62.5 ล้านล้านดองเวียดนาม (2.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบเป็นรายปี 

เนื่องจากท้องถิ่นต่าง ๆ ต่างก็เร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดใจนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ


โดยเฉพาะตลาดอินเดีย เพราะนักท่องเที่ยวชาวอินเดียถือเป็นเป้าหมายสำคัญ ที่จะมาทดแทนตลาดจีนได้

และก็ไม่ใช่เพียงแค่เวียดนามเท่านั้น ที่หวังจะให้คนอินเดียมาเที่ยวเยอะขึ้น  แต่รวมถึงไทยและอีกหลายชาติเช่นกัน 


จากทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ยังคงเปราะบาง ทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเปลี่ยนทิศทางการท่องเที่ยวนอกประเทศตามไปด้วย 

การท่องเที่ยวขาออกโดยรวมของจีนปัจจุบันนี้ ยังฟื้นตัวได้เพียง 80% ของระดับสูงสุดในช่วงก่อนโควิด-19 

ทุกประเทศที่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวตอนนี้ ต่างกำลังมองหาตลาดใหมๆ หานักท่องเที่ยวชาติอื่นๆมาแทนจีน 

และหนึ่งในใจของทุกคน ก็คือ อินเดีย  โดยปัจจุบันนี้มีจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศขาออก พุ่งสูงถึง 110% ของช่วงก่อนโควิด-19 แล้ว 


และหนึ่งในปลายทางยอดนิยมที่คนอินเดียเลือก เมื่อมาอาเซียน ก็คือ เวียดนาม ซึ่งมีเที่ยวบินตรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ 


เมื่อเวียดนามท้าชิงไทย  ก็ต้องแข่งขันต้องสู้กันอย่างดุเดือด  โดยเฉพาะกลุ่มของคนเดีย

เพราะเป็นชาติที่นิยมช็อปปิ้งใช้จ่ายติดระดับท้อปของโลก 



 ไม่ใช่แค่เวียดนามที่หวังลูกค้าการท่องเที่ยวเป็นชาติอินเดีย  ประเทศไทยเองก็เช่นกัน มีการยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวอินเดีย

จนทำให้มีคนอินเดียเข้ามาเที่ยวมากขึ้นต่อเนื่อง ด้วยจำนวนกว่า 2 แสนคนในปีก่อน

 เป็นอันดับที่ 3 ของต่างชาติ รองจากมาเลเซีย และจีน ด้วย และล่าสุด "กรุงเทพฯ"เมืองหลวงของไทย

ยังได้ขึ้นแซงดูไบ กลายเป็นจุดหมายปลายทางเมืองยอดนิยมสำหรับนักเดินทางชาวอินเดียอีกด้วย



เพราะนอกจากจำนวนปริมาณประชากรที่มหาศาลของอินเดียแล้ว การใช้จ่ายของคนอินเดียก็เป็นสิ่งน่าสนใจ

ตามรายงานของ Capital Economics  คาดว่าชาวอินเดียจะใช้จ่ายประมาณ 1.2 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.1 ล้านล้านบาท) ต่อปี

ในการท่องเที่ยวต่างประเทศภายใน10 ปีข้างหน้า  ซึ่งจะทำให้พวกเขาเป็นผู้ใช้จ่ายรายใหญ่อันดับสี่ของโลก รองจากสหรัฐฯ จีน และเยอรมนี


นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจาก Mastercard ชี้ว่า "พฤติกรรมการใช้จ่าย"ของนักท่องเที่ยวอินเดียและจีนก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน 

นักท่องเที่ยวจีนทุ่มเงิน 9.5% ของค่าใช้จ่ายไปกับประสบการณ์และความบันเทิงยามค่ำคืน 

ขณะที่ชาวอินเดียชอบช้อปปิ้งมากกว่า โดยนักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เดินทางครั้งแรกจากอินเดีย เวลาไปเที่ยว

จะเลือกความสะดวก ความปลอดภัย และความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรมเป็นหัวใจสำคัญ 

เพราะชาวอินเดียจำนวนมากมีข้อจำกัดเรื่องอาหาร เช่น ทานมังสวิรัติ 

จึงมักตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทางจากความพร้อมของร้านอาหารที่ตอบโจทย์ก่อนเป็นอันดับแรก

เวียดนามจึงกำลังเร่งมือปรับตัวครั้งใหญ่ในภาคการท่องเที่ยวเพื่อรองรับกระแสนี้

โดยเฉพาะร้านอาหารต่างๆ มักจะมีภาษาฮินดีประกอบมากขึ้น คู่กับภาษาจีนและอังกฤษ รวมไปถึงป้ายบอกทางต่างๆ ตามที่ท่องเที่ยว 

ซึ่งนับว่าเป็นการแข่งขันหรือเป็นศึกทีท้าทาย ระหว่างไทยและเวียดนามสำหรับตลาดกลุ่มนี้

และเป้าหมายการเป็นที่หนึ่งด้านการท่องเที่ยว 


สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เวียดนามกำลังกลายเป็นม้ามืดที่มาแรงของการท่องเที่ยวในอาเซียน 

หลังจากปีที่ผ่านมา เวียดนามมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะแซงหน้าสิงคโปร์ขึ้นมาเป็นอันดับในกลุ่ม

มีมาเลเซียที่ครองอันดับ 2 ด้วยตัวเลข 25 ล้านคน ขณะที่ไทยยังคงรั้งแชมป์ด้วยจำนวน 35 ล้านคน


แต่ถ้ามองหรือวัดจากฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จากช่วงก่อนโควิด-19

เวียดนามถือว่าเป็นผู้ชนะ เพราะฟื้นตัวเร็วที่สุดในภูมิภาค

ด้วยอัตราการฟื้นตัว 98% ขณะที่ ไทย อยู่ที่ 87.5% และ สิงคโปร์ ที่ 86%

 และในช่วงต้นปี 2569 สนามบินนานาชาติ Long Thanh

 ซึ่งจะเป็นประตูสู่โฮจิมินห์ซิตี้ จะเริ่มเปิดให้บริการ พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวได้ถึง 25 ล้านคน


เป้าของเวียดนามในปีนี้ คือ ขอนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุ 23 ล้านคน ส่วนไทยอยู่ที่ 40 ล้านคน 

สำหรับช่วงต้นปีที่ผ่านมานับแค่เดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา 

เวียดนามมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าแล้วเกือบ 4 ล้านคน 

เพิ่มขึ้นกว่า 30.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนไทยเราทำได้ที่ 6.8 ล้านคน

เพิ่มจากปีก่อนที่ 8.8 % 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง