รีเซต

มะเร็งกล้ามเนื้อหัวใจ: อาการ สาเหตุ การรักษา และการป้องกัน

มะเร็งกล้ามเนื้อหัวใจ: อาการ สาเหตุ การรักษา และการป้องกัน
TNN ช่อง16
22 กันยายน 2567 ( 11:06 )
34

ทำความรู้จักมะเร็งกล้ามเนื้อหัวใจ


มะเร็งกล้ามเนื้อหัวใจ  เป็นโรคมะเร็งที่พบได้น้อยมาก แต่มีความรุนแรงสูง ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับโรคนี้กันให้มากขึ้น


มะเร็งกล้ามเนื้อหัวใจคืออะไร?


มะเร็งกล้ามเนื้อหัวใจเป็นเนื้องอกชนิดร้ายแรงที่เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อของหัวใจ โดยสามารถเกิดได้ในส่วนต่างๆ ของหัวใจ เช่น ผนังหัวใจ ลิ้นหัวใจ หรือเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ


 อาการของโรค


อาการของมะเร็งกล้ามเนื้อหัวใจมักไม่เฉพาะเจาะจง และอาจคล้ายคลึงกับโรคหัวใจชนิดอื่นๆ ซึ่งอาจรวมถึง:


1. หายใจลำบากหรือหอบเหนื่อย

2. อาการเจ็บหน้าอก

3. อาการบวมที่ขาหรือข้อเท้า

4. หัวใจเต้นผิดจังหวะ

5. อ่อนเพลียหรือเหนื่อยล้าอย่างผิดปกติ

6. เป็นลมหรือหน้ามืด


สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง


ในปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดมะเร็งกล้ามเนื้อหัวใจ อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยบางอย่างที่อาจเพิ่มความเสี่ยง เช่น:


- การได้รับรังสีบริเวณหน้าอก

- ความผิดปกติทางพันธุกรรมบางชนิด

- การติดเชื้อไวรัสบางประเภท


การวินิจฉัย


การวินิจฉัยมะเร็งกล้ามเนื้อหัวใจอาจทำได้ยาก เนื่องจากอาการมักไม่เฉพาะเจาะจง แพทย์อาจใช้วิธีการต่างๆ ในการวินิจฉัย เช่น:


1. การตรวจร่างกายและประวัติทางการแพทย์

2. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)

3. การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiogram)

4. การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)

5. การตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา


การรักษา


การรักษามะเร็งกล้ามเนื้อหัวใจขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ขนาดและตำแหน่งของเนื้องอก รวมถึงการแพร่กระจายของมะเร็ง วิธีการรักษาอาจรวมถึง:


1. การผ่าตัดเพื่อนำเนื้องอกออก

2. การฉายรังสี

3. การให้ยาเคมีบำบัด

4. การรักษาแบบประคับประคองเพื่อบรรเทาอาการ


การพยากรณ์โรค


มะเร็งกล้ามเนื้อหัวใจเป็นโรคที่มีการพยากรณ์โรคไม่ดีนัก เนื่องจากมักตรวจพบในระยะที่มะเร็งลุกลามแล้ว อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยที่รวดเร็วและการรักษาที่เหมาะสมอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ดีขึ้นได้



มะเร็งกล้ามเนื้อหัวใจเป็นโรคที่พบได้น้อยแต่มีความรุนแรง การตระหนักถึงอาการและการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการวินิจฉัยโรคแต่เนิ่นๆ หากสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยงหรือมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด


ภาพ Freepik 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง