รีเซต

วิกฤตเงียบ: สำรวจสถิติและแนวโน้มการฆ่าตัวตายในประเทศไทย

วิกฤตเงียบ: สำรวจสถิติและแนวโน้มการฆ่าตัวตายในประเทศไทย
TNN ช่อง16
2 พฤศจิกายน 2567 ( 10:37 )
21

การฆ่าตัวตายในประเทศไทยกำลังเป็นปัญหาที่น่ากังวลอย่างยิ่ง จากสถิติในปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม 2565 - กันยายน 2566) มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายถึง 5,172 คน หรือคิดเป็นอัตรา 7.94 ต่อประชากรแสนคน ซึ่งเท่ากับเฉลี่ยวันละ 14 คน ข้อมูลนี้สะท้อนถึงปัญหาสุขภาพจิตที่ยังไม่ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจและการระบาดของ COVID-19 ซึ่งทำให้เกิดความเครียดและผลกระทบต่อสุขภาพจิตของประชากรในหลายกลุ่มวัย (ที่มา: กรมสุขภาพจิต, กระทรวงสาธารณสุข)


ภาพรวมการฆ่าตัวตายในประเทศไทย


จากรายงานสถานการณ์การฆ่าตัวตายในประเทศไทยย้อนหลังตั้งแต่ปี 2540 - 2566 พบว่าอัตราการฆ่าตัวตายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 มีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 7.97 ต่อประชากรแสนคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 7.38 ต่อแสนประชากรในปี 2564 กลุ่มที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุดคือวัยทำงานอายุ 20-59 ปี ซึ่งเป็นวัยที่ต้องเผชิญกับความเครียดจากปัญหาทางเศรษฐกิจและหน้าที่การงาน ประกอบกับความรับผิดชอบด้านครอบครัวและการเงิน ส่งผลให้มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตสูงกว่ากลุ่มวัยอื่นๆ ขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปพบอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุดอยู่ที่ 10.39 ต่อแสนประชากร 



ข้อมูลนี้สะท้อนถึงปัญหาสุขภาพจิตที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้า ความเหงา หรือปัญหาสุขภาพเรื้อรัง ซึ่งทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงขึ้นเมื่อขาดการสนับสนุนทางอารมณ์และการดูแล การเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาการฆ่าตัวตายไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะประเทศไทย แต่ยังเป็นวิกฤตสุขภาพจิตที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง


แนวโน้มการฆ่าตัวตายในแต่ละกลุ่มอาชีพ


จากข้อมูลการวิจัยของชีวรัตน์ ต่ายเกิด กลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด โรงพยาบาลอินทร์บุรี ระบุว่าอาชีพที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายมากที่สุดคืออาชีพรับจ้าง คิดเป็นร้อยละ 48.4 ของผู้ฆ่าตัวตายทั้งหมด ตามด้วยกลุ่มอาชีพเกษตรกรและรับราชการ ซึ่งมีสัดส่วนเท่ากันคือร้อยละ 12.9 ส่วนแม่บ้านมีอัตราการฆ่าตัวตายต่ำสุดที่ร้อยละ 3.2 แม้ว่าบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศไทยจะไม่มีข้อมูลระบุไว้ในงานวิจัยนี้ แต่จากการศึกษาต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา พบว่าแพทย์มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าประชากรทั่วไปถึง 2 เท่า โดยอัตราการฆ่าตัวตายของแพทย์อยู่ระหว่าง 28-40 รายต่อแพทย์ 100,000 คน สาเหตุสำคัญมาจากความเครียดในภาระงาน ปัญหาสุขภาพจิต รวมถึงความกดดันทางสังคมและเศรษฐกิจ


คราบน้ำตา..ฆ่ายกครัว: ปัญหาซ่อนเร้นที่สังคมต้องเผชิญ


นอกจากการฆ่าตัวตายแบบเดี่ยวแล้ว “การฆ่ายกครัว” ยังเป็นอีกหนึ่งโศกนาฏกรรมที่สร้างความสะเทือนใจในสังคมไทย โดยเฉพาะในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ามีหลายกรณีที่สะท้อนถึงความขัดแย้งภายในครอบครัวและปัญหาธุรกิจ ตัวอย่างเช่น คดีในปี 2560 ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 8 รายจากปัญหาการจำนองที่ดิน นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ความขัดแย้งทางธุรกิจและการแก่งแย่งมรดกนำไปสู่การฆ่ายกครัว ความรุนแรงเหล่านี้บ่งชี้ว่าความขัดแย้งและปัญหาที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในครอบครัวเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงในลักษณะนี้



ปัจจัยเสี่ยงและการป้องกัน: ดูแลใจ ก่อนถึง "ฟางเส้นสุดท้าย"


แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ชี้ว่า สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงและความกดดันที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้อัตราการฆ่าตัวตายในปี 2565 สูงสุดในรอบ 5 ปี ข้อมูลจากใบมรณบัตรโดยกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า อัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จเพิ่มจาก 7.38 ต่อแสนคนในปี 2564 เป็น 7.97 ต่อแสนคนในปี 2565 


แพทย์หญิงอัมพรเน้นว่า  ในระยะหลัง สังเกตได้ว่ามีการนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายอย่างแพร่หลายในสื่อออนไลน์ พร้อมกับการวิพากษ์วิจารณ์หรือด่วนสรุปสาเหตุและตำหนิผู้ที่อาจเกี่ยวข้องในลักษณะของ Hate speech (แปลเป็น ไทยได้ว่า “วาจาหรือถ้อยคําที่สร้าง ความเกลียดชัง” หรือ “ประทุษวาจา”)  ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องใหญ่และมักเกี่ยวพันกับหลายปัจจัย การสรุปหรือด่วนกล่าวโทษสิ่งที่อาจเป็นเพียง "ฟางเส้นสุดท้าย" อาจนำไปสู่ปัญหาความเกลียดชัง ความก้าวร้าว หรือแม้แต่ความกดดันและการสูญเสียที่เพิ่มขึ้นในทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในสื่อออนไลน์


การป้องกันที่เน้นการสนับสนุนและความเข้าใจ


การศึกษาจากโครงการป้องกันและลดปัญหาการฆ่าตัวตายในประเทศไทย โดยโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ แสดงให้เห็นว่าผู้ที่เคยพยายามฆ่าตัวตายมีโอกาสสูงในการทำซ้ำและประสบความสำเร็จในที่สุด โดยมีความเสี่ยงสูงขึ้นถึง 100 เท่าภายใน 1 ปีหลังจากความพยายามครั้งแรก อีกทั้งร้อยละ 10 ของผู้พยายามทำร้ายตนเองมักจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายในภายหลัง การช่วยเหลือจึงต้องมุ่งเน้นที่การสนับสนุนให้เข้าถึงบริการบำบัดรักษา รวมถึงการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดจากครอบครัวและสังคม 


สร้างสังคมที่เข้าใจและใส่ใจต่อกัน


การลดอัตราการฆ่าตัวตายในประเทศไทยจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน การส่งเสริมสุขภาพจิตและการสนับสนุนให้เข้าถึงบริการปรึกษาอย่างทั่วถึงเป็นสิ่งสำคัญ การเฝ้าระวังสัญญาณเตือน เช่น การพูดถึงความตาย การแยกตัว หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนรอบข้าง รวมถึงการรับฟังด้วยความเข้าใจและการส่งต่อความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เป็นวิธีที่สามารถช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากพบผู้มีความเสี่ยงสามารถติดต่อขอคำปรึกษาได้ที่สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง


อ้างอิง

โครงการป้องกันและลดปัญหาการฆ่าตัวตายในประเทศไทย โดยโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ 

กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข - ข้อมูลสถานการณ์การฆ่าตัวตายในปีงบประมาณ 2566 รวมถึงอัตราการฆ่าตัวตายในแต่ละกลุ่มอายุและสถิติย้อนหลังที่ระบุถึงแนวโน้มการฆ่าตัวตายในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2540 - 2566

ชีวรัตน์ ต่ายเกิด กลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด โรงพยาบาลอินทร์บุรี - งานวิจัยที่ชี้ถึงแนวโน้มการฆ่าตัวตายในแต่ละกลุ่มอาชีพในประเทศไทย รวมถึงการเปรียบเทียบกับข้อมูลจากต่างประเทศเกี่ยวกับบุคลากรทางการแพทย์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง