เจาะลึก 5 มิติ "เด็ก Dropout" วิกฤตการศึกษาไทยที่ทวีความรุนแรงในรอบทศวรรษ
ปัญหาเด็กและเยาวชนหลุดออกนอกระบบการศึกษาในประเทศไทย หรือที่เรียกว่า "เด็ก Dropout" กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นวิกฤตระดับชาติที่น่าเป็นห่วง ตามข้อมูลล่าสุดจาก ศูนย์ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในภาวะวิกฤตการศึกษา (กสศ.) พบว่ามีเด็กไทยกว่า 1.02 ล้านคนที่ออกจากระบบการศึกษา ตัวเลขที่สูงมหาศาลนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในสังคมไทย ซึ่งยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเด็กและครอบครัวที่มีความเปราะบาง
เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์นี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เราจะพาไปเจาะลึก 5 มิติของปัญหาเด็ก Dropout พร้อมวิเคราะห์แนวโน้มความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในรอบทศวรรษ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่ออนาคตของประเทศชาติ
มิติที่ 1: เด็กที่เสี่ยงต่อการหลุดออกจากระบบในระดับประถมศึกษา
แม้จะยังอยู่ในระบบการศึกษา แต่เด็กกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุดที่จะหลุดออกไป พวกเขามักมีปัญหาการเรียน ขาดเรียนบ่อย มีปัญหาพฤติกรรม หรือมาจากครอบครัวที่มีความเปราะบาง การเฝ้าระวัง ติดตาม และให้ความช่วยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้อย่างทันท่วงที จะช่วยป้องกันไม่ให้พวกเขาต้องออกจากระบบการศึกษาไปในที่สุด ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้อย่างยั่งยืนกว่า
มิติที่ 2: เด็กที่เสี่ยงต่อการหลุดออกจากระบบในระดับมัธยมต้น
เช่นเดียวกับในระดับประถมศึกษา เด็กมัธยมต้นจำนวนไม่น้อยก็กำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะออกจากโรงเรียนกลางคัน แม้ว่าจะยังมาเรียนอยู่ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะออกนอกระบบเมื่อเจอปัญหาหรือแรงกดดันบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลการเรียนตกต่ำ ปัญหาความสัมพันธ์ในโรงเรียน ภาวะซึมเศร้า ปัญหาครอบครัว หรือการตั้งครรภ์วัยรุ่น เด็กกลุ่มนี้จึงต้องการความเอาใจใส่และการดูแลเป็นพิเศษจากครูและผู้ปกครอง เพื่อให้สามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตไปได้ และเรียนต่อในระบบจนจบการศึกษาภาคบังคับ
มิติที่ 3: เด็กที่เข้าเรียนช้า หรือหลุดออกจากระบบในระดับประถมศึกษา
อีกกลุ่มหนึ่งที่น่าเป็นห่วง คือเด็กที่เข้าเรียนในระดับประถมศึกษาล่าช้ากว่ากำหนด หรือเข้าเรียนแล้วแต่ออกจากระบบการศึกษากลางคัน มักพบในครอบครัวที่มีฐานะยากจน ต้องย้ายถิ่นบ่อย หรือไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาของลูก นอกจากนี้ปัจจัยด้านตัวเด็กเอง เช่น ปัญหาการเรียนรู้ พฤติกรรม หรือสุขภาพ ก็อาจทำให้เด็กไม่สามารถอยู่ในระบบได้ตามปกติ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสม เด็กกลุ่มนี้มีแนวโน้มสูงที่จะออกจากโรงเรียนกลางคัน และไม่ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จำเป็น
มิติที่ 4: เด็กที่เข้าเรียนช้า หรือหลุดออกจากระบบในระดับมัธยมต้น
เมื่อเด็กเติบโตขึ้น ความเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษาก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นด้วย โดยเฉพาะในระดับมัธยมต้น ซึ่งเป็นช่วงวัยรุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมมากมาย สาเหตุที่ทำให้เด็กวัยนี้ออกจากโรงเรียนมีหลากหลาย ตั้งแต่ปัญหาครอบครัว ความจำเป็นทางเศรษฐกิจที่ต้องออกไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ไปจนถึงปัญหาการปรับตัวในโรงเรียน การถูกรังแก หรือการมีพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เด็กที่หลุดออกจากระบบในช่วงนี้ ส่วนใหญ่มักจะไม่ได้กลับเข้ามาเรียนต่ออีก ซึ่งจะกระทบต่อโอกาสในการประกอบอาชีพและคุณภาพชีวิตในระยะยาว
มิติที่ 5: เด็กปฐมวัยที่ไม่ได้เข้าเรียนชั้นอนุบาลหรือประถมศึกษา
ปัญหาเด็ก Dropout เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงปฐมวัย เด็กจำนวนมากไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนในชั้นอนุบาลหรือประถมศึกษา ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้และพัฒนาการในอนาคต สาเหตุหลักมักมาจากความยากจนและการขาดความตระหนักของพ่อแม่ถึงความสำคัญของการศึกษาในวัยเริ่มต้น การไม่ได้รับการเตรียมความพร้อมที่เหมาะสม ทำให้เด็กกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะประสบปัญหาในการเรียนและหลุดออกจากระบบการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นไป
แนวโน้มปัญหาที่ทวีความรุนแรงขึ้นในรอบทศวรรษ
เมื่อพิจารณาสถิติเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2557-2566) แม้ว่าจะไม่มีชุดข้อมูลที่เป็นทางการและสมบูรณ์ แต่ก็มีตัวเลขและรายงานบางส่วนจาก ศูนย์ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในภาวะวิกฤตการศึกษา (กสศ.) และ กระทรวงศึกษาธิการ ที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงดังนี้
● ก่อนสถานการณ์โควิด-19: มีเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาประมาณ 67,000 คนต่อปี โดยสาเหตุหลักมักมาจากปัญหาครอบครัว เช่น ความยากจน การหย่าร้าง และปัญหาสุขภาพ
● ช่วงสถานการณ์โควิด-19: จำนวนเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2563 มีเด็กหลุดออกจากระบบมากกว่า 200,000 คน ซึ่งเป็นผลมาจากการปิดโรงเรียนเป็นเวลานาน ภาระทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และปัญหาสุขภาพจิต
● หลังสถานการณ์โควิด-19: แม้สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลาย แต่จำนวนเด็กหลุดออกจากระบบยังคงสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 โดยในปี 2565 มีเด็กหลุดออกจากระบบประมาณ 100,000 คน (ข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการ)
จากสถิติดังกล่าว จะเห็นได้ว่าแนวโน้มของปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมากในรอบทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อครอบครัวที่มีฐานะยากจนและด้อยโอกาสมากที่สุด ทำให้เด็กจำนวนมากต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน เพื่อไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัว หรือเพราะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับการเรียนในรูปแบบใหม่ได้ แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์จะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ แต่จำนวนเด็กนอกระบบก็ยังสูงกว่าก่อนหน้านี้มาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผลกระทบของโควิด-19 ต่อระบบการศึกษาไทยนั้นจะยังคงอยู่ต่อไปอีกนาน และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขฟื้นฟูในระยะยาว
Thailand Zero Dropout ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อแก้วิกฤตเด็กนอกระบบ
การแก้ไขปัญหาเด็กนอกระบบการศึกษาที่มีความซับซ้อนเช่นนี้ จึงไม่ใช่ภารกิจที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะทำสำเร็จได้โดยลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการสร้างระบบการป้องกัน เฝ้าระวัง ช่วยเหลือ และพัฒนาเด็กในแต่ละมิติอย่างเหมาะสมกับบริบทและความต้องการที่แตกต่างกัน โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือ การสร้างระบบการศึกษาที่เป็นธรรม มีคุณภาพ และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
โครงการ Thailand Zero Dropout ที่รัฐบาลได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ทุกคนจะต้องร่วมมือกันขับเคลื่อน เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาที่เป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ความท้าทายที่หลากหลาย อันจะนำไปสู่การสร้างอนาคตที่สดใสให้กับเด็กไทยทุกคนได้อย่างแท้จริง
อ้างอิง
ศูนย์ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในภาวะวิกฤตการศึกษา (กสศ.)
กระทรวงศึกษาธิการ