"คอนเทนต์" ไร้ขอบเขต อินฟลูฯ เป็นพิษ หรือโลกออนไลน์เสพติดดราม่า?

ในยุคดิจิทัลที่ใครก็สร้างคอนเทนต์ได้ ต้นทุนการผลิตไม่ได้สูง เพียงมีกล้องหรือโทรศัพท์มือถือหนึ่งเครื่องก็สามารถสร้างวิดีโอจนกลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้ทันที
เมื่อคอนเทนต์และยอดเอ็นเกจเมนต์เปรียบเสมือนลมหายใจของผู้สร้างคอนเทนต์ จึงทำให้หลายคนเริ่มหันไปใช้กลยุทธ์ล่อแหลม เน้นดราม่า หรือเสี่ยงอันตราย เพื่อให้คลิปกลายเป็นไวรัล
ขณะเดียวกัน โลกออนไลน์ยังไม่มีหน่วยงานหรือกฎหมายกำกับแบบชัดเจน เสรีภาพในการแสดงออกจึงกลายเป็นดาบสองคม เปิดทางให้เกิดคอนเทนต์ไร้ขอบเขต ที่บั่นทอนสังคมได้อย่างรวดเร็ว
"เคารพสิทธิผู้อื่น" หลักพื้นฐานที่ครีเอเตอร์มองข้ามไม่ได้
ผศ.ดร.อาทิตยา ทรัพย์สินวิวัฒน์ อดีตอินฟลูเอนเซอร์ที่ปัจจุบันเป็นนักวิชาการและผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เธอเห็นโลกทั้งสองด้านในฐานะผู้สร้างคอนเทนต์และอาจารย์ผู้สอนด้านสื่อสารสังคม
กรณีมุก กินเค้ก ที่รีวิวชุดเพื่อสร้างยอดไลก์ รวมถึงแจ๊ก แป๊ปโฮ ที่เต้นบนหลังรถในญี่ปุ่นอย่างไม่เหมาะสม กลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญให้ครีเอเตอร์ทบทวนตัวเอง
“เราไม่อยากให้เหมารวมว่าอินฟลูเอนเซอร์ทุกคนเป็นแบบนี้ เพราะยังมีอีกหลายคนสร้างคอนเทนต์ดี ๆ สิ่งแรกที่ครีเอเตอร์ต้องคำนึงถึงคือจริยธรรม เราต้องเคารพความจริง ไม่บิดเบือนเพื่อยอดวิว” ผศ.ดร.อาทิตยากล่าว
ผศ.ดร.อาทิตยา เน้นว่าครีเอเตอร์ควรคำนึงถึงสิทธิของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าที่รีวิว บุคคลที่ถูกพาดพิง หรือสิทธิของผู้ติดตามที่ควรได้รับคอนเทนต์คุณภาพ
“คอนเทนต์หนึ่งชิ้นสามารถเปลี่ยนความคิด กระตุ้นพฤติกรรมได้ทันที จึงต้องทำบนพื้นฐานจริยธรรม และเคารพสิทธิผู้อื่น ผลกระทบไม่ได้หยุดแค่ครีเอเตอร์ แต่ลามไปถึงผู้ประกอบการ ผู้บริโภค และสังคมทั้งระบบ”
ผู้ชม-ผู้อ่าน ส่วนหนึ่งของวงจร "อินฟลูเอนเซอรร์" ขับเคลื่อนด้วยยอดวิว
ยอดวิวกลายเป็นรายได้โดยตรง ทำให้ครีเอเตอร์บางส่วนเลือกเส้นทางลัด เน้นคอนเทนต์หวือหวา ใช้อารมณ์แทนข้อเท็จจริง สร้างความขัดแย้งเพื่อกระแส และขายความสะใจแทนคุณภาพ
พฤติกรรมนี้ไม่ได้สะท้อนเพียงผู้ผลิต แต่ยังสะท้อนความต้องการของสังคมบางส่วนที่เสพติดดราม่า ที่เร้าใจและตอบสนองอารมณ์รวดเร็ว
อัลกอริทึมทำให้คอนเทนต์ที่เราอินถูกเสิร์ฟซ้ำอย่างต่อเนื่อง จนเกิดผลกระทบทางอารมณ์ ทำให้โกรธ เห็นใจ ชอบ หรือไม่ชอบ กลายเป็นชนวนของดราม่าและการแชร์ต่อ ผศ.ดร.อาทิตยา แนะนำว่าเมื่อเห็นคอนเทนต์ที่กระทบอารมณ์ ลองวางโทรศัพท์ 1–2 ชั่วโมงก่อน พอกลับมาดูใหม่ อารมณ์เย็นลง ความคิดอาจเปลี่ยนไป
ขณะที่โครงสร้างสังคมดิจิทัลปัจจุบันใช้ยอดวิวเป็นตัววัดคุณค่า ทำให้ครีเอเตอร์บางส่วนยึดติดการเติบโตแบบรวดเร็ว แลกกับจริยธรรมที่ลดลง
ท่ามกลางการแข่งขันยังมีทางเลือกในการสร้างสมดุลบนโลกดิจิทัล โดยการสร้างมาตรฐานที่ไม่ทำลายเสรีภาพ ส่งเสริมทักษะและความรับผิดชอบของครีเอเตอร์ รวมถึงผลักดันให้ผู้ชมรู้จักชะลออารมณ์ก่อนแชร์
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้คอนเทนต์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันทุกคนไปแล้ว
หากเสรีภาพทางคอนเทนต์เดินเคียงคู่กับจริยธรรม โลกออนไลน์อาจกลับมามีพื้นที่ของคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ เนื้อหาที่มีประโยชน์ และการสื่อสารที่สร้างความหมายต่อสังคม มากกว่าปัจจุบันที่ดราม่ามักดังกว่าข้อเท็จจริง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
