รีเซต

ปลุกอารมณ์-ข่าวปลอม อินฟลูเอนเซอร์ในห้วงความขัดแย้ง เกิดขึ้นได้อย่างไร ควรมีกฎหมายกำกับหรือไม่ ?

ปลุกอารมณ์-ข่าวปลอม อินฟลูเอนเซอร์ในห้วงความขัดแย้ง เกิดขึ้นได้อย่างไร ควรมีกฎหมายกำกับหรือไม่ ?
TNN ช่อง16
14 สิงหาคม 2568 ( 14:14 )
16

เปิดโซเชียลมีเดียไหน ไม่ว่าจะ ติ๊กต็อก, เฟซบุ๊ก หรืออินสตาแกรม ก็มีอินฟลูเอนเซอร์มากมายไปหมด ซึ่งอินฟลูฯ เหล่านี้ ต่างก็เป็นผู้นำเทรนด์บางอย่าง และมีผู้ติดตามจำนวนมาก 

แต่ในช่วงความขัดแย้ง บางครั้งอินฟลูฯ เหล่านี้ ก็เผยแพร่ข่าวที่ไม่มีการคัดกรอง หรือปลุกระดมความเกลียดชังได้ เมื่ออินฟลูฯ เหล่านี้ไม่ถูกกำกับดูแล 

เมื่อใครๆ ก็เป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้ 

ในยุคที่ทุกคนมีสมาร์ทโฟน เข้าถึงอินเทอร์เน็ต ใครๆ จึงสามารถเป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้ โดยข้อมูลจาก Nielsen ระบุว่าปี 2565 ประเทศในอาเซียน (AEC) มีอินฟลูเอนเซอร์รวมกันถึง 13.5 ล้านคน และประเทศไทยเองยังมีอินฟลูเอนเซอร์มากถึง 2 ล้านคน เป็นอันดับ 2 ในอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย

ขณะที่ในวงเสวนา “โอกาสและความท้าทาย เมื่อระบบนิเวศสื่อเปลี่ยนไป” ใน จ.ขอนแก่น เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ดร.ประกายใจ อรจันทร์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตขอนแก่น ก็ได้กล่าวถึงระบบนิเวศสื่อที่เปลี่ยนไป ผู้ประกอบการสื่อรายใหญ่มีผู้เล่นไม่กี่ราย แต่กลายเป็นมีผู้เข้ามามีบทบาทผลิตสื่อได้มหาศาล 

“มีการคาดการณ์ว่า 2568 จะมีอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคนเพิ่มเป็น 3 ล้านบัญชี ถือเป็นเรื่องใหม่ที่จะต้องจับตาว่า จะเกิดอะไรกับวงการสื่อ” นักวิชาการด้านสื่อมวลชนกล่าว

แต่ในช่วงภาวะที่ประเทศประสบปัญหาความมั่นคง และมีประเด็นเรื่องชายแดนกับกัมพูชานั้น อินฟลูเอนเซอร์ที่มีจำนวนมากในไทยเหล่านี้ ก็ได้ขยับขยายเข้ามาพูดถึงประเด็นนี้ จนเกิดการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารที่มากมาย ทั้งที่ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง และถูกใช้เป็นการปลุกระดมอารมณ์ความรู้สึกได้ด้วย 

ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ รองอธิการบดี ฝ่ายกิจการนักศึกษาและอาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ ให้ความเห็นกับ TNN Online ว่าในห้วงความขัดแย้งของไทย–กัมพูชา ประชาชนต้องการข้อมูลข่าวสารมากกว่าปกติ ทำให้เปิดรับข่าวจากทั้งสื่อกระแสหลัก เพจ และอินฟลูเอนเซอร์มากขึ้น ซึ่งหลายเพจก็เปิดขึ้นมาเฉพาะกิจ บางเพจใช้ชื่อคล้ายหน่วยงานราชการ นำเสนอข้อมูลทั้งจริงและปลอม บางครั้งสร้างความเกลียดชัง เพื่อดึงยอดผู้ชมและสร้างรายได้ โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มอย่างเฟซบุ๊กที่ให้ผลตอบแทนตามจำนวนผู้เข้าชม

ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์

นอกจากข่าวจริงจากหน่วยงานทางการ ยังมีการเผยแพร่ข่าวปลอม การใช้ AI สร้างภาพ และการแสดงความคิดเห็นด้วยอารมณ์เกลียดชัง ทำให้ข่าวปลอมแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว 

“อินฟลูฯ เขาต้องการสร้างรายได้จากคนที่เข้ามาดูเยอะๆ ด้วย ยิ่งทำให้ การแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสารที่เป็นข่าวปลอมเนี่ย แพร่กระจายมากขึ้น อีกส่วนหนึ่งก็ต้องเข้าใจว่า พออยู่ในช่วงของสงครามที่มีความอ่อนไหว คนที่อยู่ในโลกออนไลน์ที่เป็นอินฟลูฯ ก็มีอารมณ์ร่วมมาก มากจนบางครั้งไม่ได้มีการตรวจสอบข้อมูล พอรับข้อมูลบางอย่างมาก็แชร์เลย โดยที่ไม่ได้มีการกลั่นกรอง หรือหลายครั้งก็แสดงทัศนคติความคิด ความเห็นส่วนตัวด้วยความเกลียดชังออกไปผ่านช่องทางของตัวเองมากขึ้น ยิ่งได้รับการตอบรับจากคนที่มีความรู้สึกร่วมเดียวกัน แชร์มากขึ้น เขาก็ได้รายได้ด้วย”  

ซึ่งปัญหานี้ ที่อินฟลูฯ ยิ่งเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน และอารมณ์ร่วมมากไป ผศ.ดร.ประภาภรณ์ โรจน์ศิริรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ และสื่อสารองค์กร อาจารย์ประจำหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต ภาควิชาสังคมวิทยา บอกกับเราว่าเป็นเรื่องของการเข้าใจบทบาทอินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่ถูกต้อง และไม่ตรงกับความเป็นจริง 

“เวลาคนเราประกอบอาชีพ หรือทำงานอะไร สิ่งที่เราคาดหวังแรกๆ คือเรื่องของรายได้ หรืออาจจะความโด่งดัง แต่อินฟลูฯ ในยุคนี้ มีทั้งคนที่ดัง และไม่ดังก็เยอะ แต่อินฟลูเอนเซอร์อาจจะเคารพในเรื่องข้อเท็จจริงน้อยกว่าผลความคาดหวังในแง่ของความโด่งดัง ความป๊อปปูลาร์ ยอดไลค์ ยอดวิว อันนี้คิดว่าเป็นรากของปัญหานี้เลย”

“เด็กๆ ยุคนี้บอกว่าอยากเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เพราะได้ยอดไลก์ ยอดแชร์ ได้รายได้ ทั้งที่ในความจริงแล้ว อินฟลูเอนเซอร์ คือการเป็นผู้ทรงอิทธิพลในเชิงความคิด ว่าความคิดของเขา สามารถที่จะเผยแพร่มุมมอง ทิศทาง หรือแม้กระทั่งการชี้นําสังคมให้ไปสู่จุดที่มันถูกต้องดีงามได้ 

แต่ยุคปัจจุบันมายเซ็ทเปลี่ยนไปหมด ทุกอย่างเข้าถึงง่ายขึ้นกว่าเดิม ก็กลับกลายเป็นว่าการเข้าถึงง่าย ดังกล่าวเนี่ย เป็นไปเพื่อสร้างความป็อปปูล่า และเกิดความไม่ยั่งยืนเกิดขึ้น 

ซึ่งความไม่ยั่งยืนบางคนดังชั่วข้ามคืน วันต่อมาไม่ดังแล้ว ดังนั้นพอมันเกิดผ่านกระบวนการ มายเซ็ทแบบนี้เกิดขึ้น เค้าไม่ได้มุ่งหวังว่าเค้าอยากจะอยู่อย่างยั่งยืน เค้าแค่เอายอดไลค์ ยอดแชร์ ยอดวิวแค่ชั่วคราว ซึ่งอาจารย์มองว่าตรงนี้ มันก็จะกลายเป็นมิติว่าตัวเค้าเองไม่ได้แคร์สังคม แคร์แค่ว่าการไลฟ์ การได้ยอดวิว ป็อปปูล่าต่างๆ ซึ่งมันก็สวนทางกับความคาดหวังของสังคม” อาจารย์ประภาภรณ์มอง  

จากรายงานเรื่อง “Influencer : เมื่อทุกคนในสังคมล้วนเป็นสื่อ” ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติชี้ว่า การขยายตัวของอินฟลูเอนเซอร์ส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านเนื้อหา ซึ่งนำไปสู่การมุ่งสร้างเนื้อหาให้เป็นกระแสโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องและเหมาะสมเท่าที่ควร และอาจสร้างผลกระทบเชิงลบต่อสังคมรวมทั้งบางกรณียังเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย 

และสำหรับอินฟลูเอนเซอร์ของไทยสร้างรายได้ 800-700,000 บาทต่อโพสต์ ขึ้นกับจำนวนผู้ติดตาม ทำให้คนจำนวนมากสนใจเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เพราะหารายได้ได้ค่อนข้างสูงในเวลารวดเร็วด้วย

สื่อหลักก็ต้องไม่ผลิตซ้ำข่าวปลอมของอินฟลูฯ 

แต่ไม่เพียงแค่อินฟลูฯ เท่านั้น ที่เผยแพร่ข่าวปลอม แต่บางครั้งสื่อหลักเองก็สร้างคอนเทนต์ที่บิดเบือน และส่งผลต่อความปลุกระดมความรู้สึกเช่นกัน 

อาจารย์ประภาภรณ์มองว่า แม้กระทั่งสื่อหลักก็ตาม ก็จะมีลักษณะตอบสนองความต้องการแบบชั่วครั้งชั่วคราวของผู้บริโภค กระแสที่ตามกระแสเป็นหลัก บางคลิปอยู่ได้นาน บางคลิปถูกตำหนิและวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ซึ่งแลกมาด้วยผลกระทบต่อคนและสังคม ทำให้เกิดความเห็นที่ขัดแย้งกัน หลายกรณีประชาชนในฐานะผู้บริโภคต้องเป็นผู้ตัดสินว่า ทำไมมีการแชร์ข่าวปลอมหรือใช้การสื่อสารที่รุนแรง 

ผศ.ดร.ประภาภรณ์ โรจน์ศิริรัตน์

ทั้งอาจารย์ยังชี้ว่า “ ประเด็นนี้ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเวลาเราพูดถึงสื่อ มันถูกผลิตแล้วและถูกฉายซ้ำ สื่อกระแสหลักควรตั้งต้นใหม่ว่าไม่ควรผลิตซ้ำเรื่องเหล่านี้” เพราะยิ่งเป็นการทำให้ข้อมูล และความเห็นบางอย่างของอินฟลูฯ ถูกแพร่กระจาย “จนบางครั้งความขัดแย้งที่หน้างานอาจจะจบลงแล้ว แต่สงครามบนสื่อออนไลน์ก็ยังไม่จบตามไปด้วย” 

ความเห็นของ อ.มานะเองสอดคล้องกับของ อ.ประภาภรณ์ว่าสื่อไม่ควรผลิตซ้ำข้อมูลที่บิดเบือนของอินฟลูฯ “สื่อมวลชนบางสื่อเองก็สร้างรายได้จากการที่ไปหยิบเอาคอนเทนต์พวกนี้มาเล่นต่อ  มาเล่นต่อยิ่งมันเป็นการการันตีข้อมูลข่าวสารของของของเพจ หรือในส่วนของอินฟลูพวกนั้นเข้าไปอีกนะครับ มันยิ่งทําให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นข่าวปลอม แพร่กระจายมากขึ้นด้วย อันนี้ยิ่งทําให้ เกิดปัญหามากขึ้นในทุกวันนี้”

และอาจารย์ยังมองว่า นอกจากไม่ผลิตซ้ำแล้ว สื่อหลักต้องไปไกลกว่านั้น คือทำหน้าที่ตรวจสอบอินฟลูฯ ด้วย

“อินฟลูฯ ก็คือสื่อในวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าอินฟลูฯ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างคอนเทนต์ ทุกวันนี้ เราต้องรู้เท่าทันคอนเทนต์หรือรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสารมากขึ้น ไม่ใช่แค่ข้อมูลของสื่อดั้งเดิมอย่างเดียว ในหลายสังคมเนี่ย เขาสอนตั้งแต่เด็ก ให้ตั้งคำถามกับข้อมูลที่ได้รับ ไม่ว่าจะข้อมูลนั้นมาจาก AI หรือเปล่า หรือข้อมูลในโลกออนไลน์ ว่ามีการตรวจสอบมากน้อยแค่ไหน กรั่นกรองหรือเปล่า และก็อาจจะต้องมีมากกว่านั้น ในอนาคตอาจจะต้องมีชุมชนในการตรวจสอบพวกนี้ร่วมกับหลายๆ สื่อ ซึ่งก็ต้องมีสื่อที่ช่วยในตรวจสอบ ช่วยกันชี้ว่าตรงนี้มันข่าวปลอม ภาพนี้มันไม่เป็นต้องช่วยกันหลายทางด้วย”

แต่อาจารย์ก็ชี้ว่าบางกรณี สื่อมวลชนจำนวนหนึ่งเผยแพร่ข้อมูลโดยไม่ตรวจสอบเช่นกัน  เพื่อเรียกยอดไลก์และเอนเกจเมนต์ ซึ่งกระทบต่อความน่าเชื่อถือของสื่อโดยรวม และเมื่อ เพราะเมื่อเกิดข้อผิดพลาด คนมักตำหนิ “สื่อ” ทั้งหมด ไม่เฉพาะรายใด อย่างไรก็ตาม ยังมีสื่ออีกไม่น้อยที่ตรวจสอบและชี้แจงข่าวปลอมจากอินฟลูเอนเซอร์อย่างรอบคอบ ซึ่งควรได้รับการยกย่อง

ประเทศไทยควรมีกฎหมายควบคุมอินฟลูฯ หรือไม่ ?

เพราะอินฟลูเอนเซอร์กลายเป็นอาชีพใหม่ ที่มีอิทธิพลต่อคนในสังคม หลายประเทศจึงเริ่มมีกฎหมายการควบคุมคอนเทนต์ของอินฟลูฯ หรือควบคุมการโฆษณาไม่ใช่เกิดการเกินจริงไป

อาจารย์ประภาภรณ์ ซึ่งเป็นอาจารย์ด้านกฎหมายด้วยนั้น ก็ส่งเสริมว่า ประเทศไทยควรมีกฎหมายควบคุม  “สื่อมวลชนยังมีกฎหมายกํากับเป็นมาตรฐานกลาง แต่ขนาดกำกับแล้วยังลำบาก แต่อินฟลูเอนเซอร์เป็นปัจเจกชน ทุกคนเป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้ ทุกคนที่มีโทรศัพท์คิดว่าสื่อออกไป ไลฟ์ได้แล้วก็จบ แต่จริงๆ แล้วมันไม่จบ เพราะว่าอินฟลูเอนเซอร์ หรือว่าสื่อมวลชน มีอิทธิพลต่อความคิด และทิศทางของสังคมอย่างมาก” 

โดยอาจารย์ยังได้ยกว่าหลายประเทศมีกฎหมายกำกับการทำงานของอินฟลูเอนเซอร์โดยตรง เช่นเกาหลีใต้ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ป้องกันการรีวิวเกินจริง และสร้างความโปร่งใส เช่น บังคับเปิดเผยความสัมพันธ์กับสปอนเซอร์ และมีบทลงโทษสำหรับคอนเทนต์ที่บิดเบือนความจริง ไทยเองควรมีกฎหมายลักษณะนี้ พร้อมกลไกคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง การอบรมจริยธรรมผู้ทำงานออนไลน์ และการสร้างวัฒนธรรมผู้ชมที่แยกแยะโฆษณากับเนื้อหาทั่วไปได้

“หลายประเทศบังคับให้เปิดเผยรายได้ของอินฟลูเอนเซอร์กับสปอนเซอร์ ซึ่งน่าสนใจ แต่นอกจากนี้ ถ้ามีอินฟลูเอนเซอร์ที่ดี บ้านเราก็ควรมีรางวัลให้ผู้มีจริยธรรม และแบล็กลิสต์สำหรับผู้ไม่มีความรับผิดชอบก็เป็นอีกทางเลือกนึง” อาจารย์เสนอ

อ.มานะก็ยอมรับว่า อินฟลูเอนเซอร์และเพจนิรนามจำนวนมาก ผลิตคอนเทนต์โดยไม่มีการกำกับดูแล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กสทช. หรือกระทรวงดิจิทัลฯ ไม่ได้มีอำนาจควบคุม ทำให้ผู้บริโภคต้องพิจารณาข่าวด้วยตนเอง แต่ปัญหาคือ คนจำนวนมากขาดเวลาและทักษะในการตรวจสอบ ยิ่งในสถานการณ์ความขัดแย้งหรือสงคราม ผู้คนมักเชื่อข้อมูลที่สอดคล้องกับความรู้สึกของตนทันทีโดยไม่กลั่นกรอง ส่งผลให้ข่าวปลอมและเนื้อหาสร้างความเกลียดชังแพร่กระจายต่อเนื่อง

แต่ถึงอย่างนั้น อาจารย์มานะก็มองว่า การมีกฎหมายกำกับก็อาจยากต่อการควบคุม แต่มองไปถึงพลังของผู้บริโภคเองอาจต้องไปกดดันที่แพลตฟอร์ม “เพราะต่อให้กฎหมายบอกว่าห้ามทำอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าแพลตฟอร์มเอื้อให้สร้างรายได้ ก็สามารถปิดตรงนี้แล้วไปเปิดใหม่ได้ โดยไม่เปิดเผยชื่อโดยตรงก็ได้

“ถ้าแพลตฟอร์มรับรู้ว่าข้อมูลนี้เป็นข้อมูลปลอมแล้วบล็อก ไม่ให้เงิน ผมคิดว่านี่จะเป็นส่วนที่ทำให้อินฟลูเอนเซอร์ที่สร้างรายได้จากปัญหาเหล่านี้ระมัดระวังมากขึ้น แม้ไม่หายไปทั้งหมด แต่ก็จะระมัดระวังขึ้น หน่วยงานรัฐ หน่วยงานสื่อมวลชน หรือหน่วยงานต่าง ๆ อาจต้องคุยกับเจ้าของแพลตฟอร์ม หรือเมื่อเกิดเรื่อง อาจต้องมีการรายงานว่าข้อมูลนี้ไม่ถูกต้องและสร้างความเข้าใจผิดหากแพลตฟอร์มบล็อกทันที รายได้ของคนเหล่านี้ก็หายไปหมด หรือแพลตฟอร์มไม่ให้เงิน โดยระบุชัดเจนว่าเนื้อหานั้นละเมิดกฎ ดังนั้นการรีพอร์ตและการบล็อกจากแพลตฟอร์มอาจเป็นวิธีที่จะทำให้ผู้สร้างคอนเทนต์เหล่านี้ระวังตัวมากขึ้น” 

สุดท้ายอาจารย์ทั้งสองมองตรงกันถึงการสร้างความตระหนักรู้ หรือ Media Literacy ในสังคมไทยให้มากขึ้น และหากมีกฎหมายจริงนั้น ก็ต้องควบคู่กับจรรยาบรรณวิชาชีพด้วย

“หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง อินฟลูเอนเซอร์อาจมองว่า แม้ผิดกฎหมาย แต่รายได้ยังสูง และมองว่าอย่างมากก็แค่โดนปรับ จึงไม่เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดังนั้น เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ต้องมีทั้งกฎหมาย การควบคุม และการสอนการตระหนักรู้ในสังคม” อ.ประภาภรณ์สรุป 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง