ดราม่ารับเยียวยาน้ำท่วม 9,000 บาท ชาวสงขลาบ่นหนัก แม้มีมาตรการชัดเจน

เสียงสะท้อนจากผู้ประสบภัยน้ำท่วมหาดใหญ่–สงขลา ในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2568 กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของภาครัฐ เมื่อกระบวนการลงทะเบียนรับเงินเยียวยาน้ำท่วมครัวเรือนละ 9,000 บาท ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งในเพจท้องถิ่นและเพจสาธารณะ เช่น “Drama-addict” ที่มีผู้ประสบภัยเข้าไปเล่าเหตุการณ์ตรงว่า “ลงออนไลน์แล้ว แต่ยังต้องไปยื่นเอกสารจริง ร้านถ่ายเอกสารถูกน้ำท่วม เอกสารก็หายหมด จะให้ทำอย่างไร”
ดราม่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่หลายครอบครัวเพิ่งสูญเสียบ้าน เฟอร์นิเจอร์และเอกสารสำคัญไปกับกระแสน้ำ แต่ต้องรีบเดินทางกลับพื้นที่ในเวลาจำกัด เพื่อยืนยันตัวตนกับเทศบาลหรือ อบต. จึงทำให้เกิดความไม่พอใจเป็นวงกว้าง แม้รัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบแล้วก็ตาม
บทความนี้จะอธิบายทั้ง ดราม่าที่เกิดขึ้นจริง และ มาตรการเยียวยา 2568 เพื่อให้ผู้ประสบภัยเข้าใจสิทธิและเตรียมเอกสารได้ถูกต้องที่สุด
1. มัดรวมมาตรการเยียวยาน้ำท่วม 2568 (อัปเดตล่าสุด)
แม้หน้างานจะเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ในเชิงนโยบาย ครม. ได้กำหนดแนวทางช่วยเหลือแบบ “เหมาจ่าย” เพื่อให้เงินถึงมือประชาชนเร็วที่สุด โดยมีรายละเอียดดังนี้
เงินเยียวยาหลัก 9,000 บาท/ครัวเรือน
ได้รับทุกครัวเรือนที่เข้าข่ายอย่างใดอย่างหนึ่ง
- บ้านท่วมขังเกิน 7 วัน
- ท่วมฉับพลัน–น้ำป่า–ดินโคลนถล่ม แม้ท่วมไม่ถึง 7 วัน แต่มีทรัพย์สินเสียหาย
ประเด็นนี้สำคัญมากสำหรับชาวหาดใหญ่ที่กังวลว่าน้ำมาเร็ว–ไปเร็วจะหมดสิทธิ หากมีทรัพย์สินเสียหายให้ถ่ายรูปเก็บไว้ ใช้ยื่นได้
เงินเยียวยาเพิ่ม (Top-up) ตามระยะเวลาท่วมขัง
- ท่วม 31–60 วัน +5,000 บาท
- ท่วม 61–90 วัน +10,000 บาท
- ท่วม 91–120 วัน +15,000 บาท
- ท่วมเกิน 120 วัน +20,000 บาท
รวมสูงสุดทั้งสิ้น 29,000 บาท
มาตรการเสริมอื่นๆ
- ค่าวัสดุซ่อมบ้าน (ตามเพดานจังหวัด)
- พักชำระหนี้ธนาคารรัฐ สูงสุด 1 ปี
- เงินสงเคราะห์ผู้เสียชีวิต 25,000–50,000 บาท
มาตรการทั้งหมดนี้ถูกออกแบบให้ “รวดเร็ว” แต่เมื่อปะทะกับข้อจำกัดหน้างาน กลับกลายเป็นดราม่าที่เกิดขึ้นในหัวข้อถัดไป
2. ดราม่า ทำไมการลงทะเบียนถึงซับซ้อนและทำให้ประชาชนเดือดร้อน?
แม้นโยบายเน้นการลดขั้นตอน แต่สถานการณ์จริงมีปัจจัยหลายอย่างทำให้การยื่นเรื่องเป็นภาระหนักของผู้ประสบภัย
1) ออนไลน์แต่ไม่จบ — Digital Paradox
ระบบออนไลน์เปิดให้ลงทะเบียนแล้ว แต่ท้องถิ่นยังต้องการเอกสารตัวจริง เช่น
- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- รูปความเสียหาย
เพราะการเบิกงบต้องใช้หลักฐานที่ตรวจสอบได้ตามระเบียบ ปภ. จึงต้องมีทั้งออนไลน์ + เอกสารจริง ทำให้เกิดความซ้ำซ้อน
2) เอกสารหาย–ร้านถ่ายเอกสารคิวแน่น
ผู้ประสบภัยจำนวนมากสูญเสียเอกสารไปกับน้ำ โดยเฉพาะบ้านที่จมน้ำทั้งหลัง ขณะเดียวกันร้านถ่ายเอกสารหลายแห่งถูกน้ำท่วม ทำให้
คิวแน่น
บางคนต้องขี่รถไกลเพื่อถ่ายเอกสาร 2–3 แผ่น
บางครอบครัวไม่มีเอกสารใดหลงเหลือเลย
นี่คือจุดที่ดราม่าระเบิดหนักที่สุดในโซเชียล
3) กรอบเวลายื่นเรื่องเร่งด่วน
หลายพื้นที่เปิดรับเอกสารเพียง 3–5 วัน เช่น หาดใหญ่กำหนดถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2568
ผู้ประสบภัยที่อพยพไปต่างจังหวัดจึงต้องรีบเดินทางกลับ ทั้งที่ยังไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
4) คำสั่งส่วนกลางไม่สอดคล้องกับหน้างาน
รัฐบาลสั่ง “ลดขั้นตอน อย่าดราม่า” แต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไม่สามารถข้ามระเบียบได้ เพราะกลัวถูกตรวจสอบจาก สตง. ทำให้ต้องตรวจเอกสารอย่างเข้มงวด ผลที่เกิดขึ้นคือ
นโยบายง่าย แต่กระบวนการจริงซับซ้อน
3. คำแนะนำแบบเพลย์เซฟ ทำอย่างไรไม่ให้เสียสิทธิ?
เพื่อให้ผู้ประสบภัยผ่านขั้นตอนอย่างปลอดภัยที่สุด ควรทำดังนี้
1) ลงทะเบียนออนไลน์ก่อน
เพื่อให้มีชื่อในระบบส่วนกลาง
2) เตรียมชุดเอกสารกันเหนียว
แม้จะกล่าวว่า “ลดขั้นตอน” แต่การเตรียมครบมีโอกาสผ่านไวที่สุด
- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้านหรือสัญญาเช่า
- รูปถ่ายความเสียหาย (สำคัญที่สุด)
3) เอกสารหายให้แจ้งทันที
ไปที่สำนักทะเบียนอำเภอเพื่อคัดสำเนาหรือทำบัตรใหม่ โดยอาจมีช่องทางพิเศษสำหรับผู้ประสบภัย
4) ยึดประกาศท้องถิ่นเป็นหลัก
เทศบาล/อบต. คือผู้จ่ายเงินจริง ดังนั้นเวลารับเอกสารและรายละเอียดต้องเช็กจากพื้นที่ของท่านเท่านั้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
