รีเซต

เปิดสาเหตุคนไทยหนีไม่พ้นวงจน “หนี้ครัวเรือน”

เปิดสาเหตุคนไทยหนีไม่พ้นวงจน “หนี้ครัวเรือน”
TNN ช่อง16
8 กันยายน 2568 ( 19:46 )
25

ไตรมาส 1 ปี 2568 ตัวเลขหนี้ครัวเรือนหดตัวเป็นครั้งแรก แต่คุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนยังคงมีปัญหา โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อบัตรเครดิต โดยมีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่ การเพิ่มจำนวนของแหล่งเงินกู้นอกระบบทางออนไลน์ และการใช้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (BNPL) อาจส่งผลให้ผู้บริโภคก่อหนี้เกินตัว

รายงานในภาวะสังคมของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.หรือสภาพัฒน์) ทำให้เห็นตัวเลขต่างๆ ที่ชัดเจนขึ้นว่า หนี้สินครัวเรือนไตรมาส 1 ปีนี้มีมูลค่ารวม 16.35 ล้านล้านบาท หดตัวร้อยละ 0.1 เทียบปีก่อนหน้า ทำให้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ สัดส่วนต่อ GDP ปรับลดลงต่อเนื่อง โดยมาอยู่ที่ร้อยละ 87.4 ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับร้อยละ 88.4 ของไตรมาสที่ผ่านมา

ด้านความสามารถในการชำระหนี้ครัวเรือนสถานการณ์ยังไม่ดี โดยสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) หรือหนี้เสียในฐานข้อมูลเครดิตบูโร มีมูลค่า 1.19 ล้านล้านบาท แม้จะมีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมร้อยละ 8.78 ปรับลดลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย และสัดส่วนหนี้ NPLs ต่อสินเชื่อรวมลดลงในเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อบัตรเครดิต แต่เป็นการลดลงจากการหดตัวของการให้สินเชื่อ 

ขณะที่สินเชื่อค้างชำระระหว่าง 1 – 3 เดือน (SMLs) กลับมีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น โดยอยู่ที่ร้อยละ 4.25 จากร้อยละ 4.17 ของไตรมาสที่ผ่านมา

สภาพัฒน์ มองว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทย มีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ใน 2 เรืองคือ

1. เงินกู้นอกระบบอาจมีแนวโน้มสูงขึ้น จากการขยายตัวของหนี้เสียที่อยู่ในระดับสูง ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ทำให้ลูกหนี้บางส่วนจำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบที่สะดวกมากกว่าการไปกู้กับสถาบันการเงิน อีกทั้ง ปัจจุบันแหล่งเงินกู้นอกระบบที่เข้าถึงได้ง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นช่องโหว่ทำให้ลูกหนี้อาจถูกเอารัดเอาเปรียบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูง และถูกทวงหนี้ด้วยวิธีที่ผิดกฎหมาย รวมถึงอาจถูกนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ในทางที่ผิด และ

2. การใช้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (BNPL) ที่อาจกระตุ้นให้ผู้บริโภคก่อหนี้เกินตัว เนื่องจากระบบการให้สินเชื่อ BNPL ไม่ได้เชื่อมโยงกับข้อมูลรายได้หรือภาระหนี้อื่น ๆ ของลูกหนี้ และพิจารณาให้สินเชื่อจากพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านระบบ BNPL ส่งผลให้ผู้ใช้บางรายได้รับวงเงินสินเชื่อสูงเกินระดับรายได้ รายได้ระดับหมื่นบาท แต่ได้วงเงินสูงถึง 1 แสนบาท โดยวงเงินดังกล่าวนอกจากซื้อสินค้าในแพลตฟอร์มค้าออนไลน์แล้ว ยังสามารถนำไปใช้ซื้อสินค้าและบริการอื่นนอกเหนือจากในแพลตฟอร์ม เช่น นำไปจ่ายค่าอาหารตามร้านอาหารได้อีกด้วย

ทางด้าน รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในวงเสวนา "หนี้ครัวเรือนไทย: ความเปราะบางที่ต้องจับตา" ในงาน Thailand Focus 2025 ว่า หนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาหลักของประเทศไทย โดยพบว่ากลุ่มที่มีหนี้ครัวเรือนสูงสุด คือ กลุ่มคนที่เริ่มทำงาน และกลุ่มวัยเกษียณ โดยผู้ที่มีหนี้สินส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เป็นหนี้จากการบริโภค ไม่ใช่หนี้จากการทำธุรกิจ

จากงานวิจัย “พบว่าคนไทยร้อยละ 38 มีหนี้ครัวเรือน” โดยตรงนี้จะเป็นข้อมูลเฉพาะหนี้ในระบบเท่านั้น ไม่รวมหนี้นอกระบบ โดยในงานวิจัยระบุว่า “คนไทยเป็นหนี้เฉลี่ยประมาณ 5 แสนบาท/คน” หากรวมหนี้นอกระบบ ตัวเลขจะสูงขึ้นกว่านี้อีกมาก

ที่น่าจับตาคือ กลุ่มคนเริ่มทำงาน หรือกลุ่มอายุ 22-29 ปี พบว่าร้อยละ 50 มีหนี้ครัวเรือน และยังพบว่า 1 ใน 4 ของคนที่เป็นหนี้ กำลังประสบปัญหาการชำระหนี้ ซึ่งมาจากการที่คนกลุ่มนี้อาจไม่มีความรู้ด้านการจัดการรายได้ ไม่มีข้อมูลที่เพียงพอในการควบคุมการใช้จ่าย หรือขาดความสามารถในการจัดการทางการเงิน

ธปท. พยายามช่วยเหลือด้วยการให้ข้อมูลเรื่องหนี้ครัวเรือนมากขึ้น รวมทั้งการเข้าถึงกลุ่มผู้ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน รวมถึงผู้ให้ยืมในการให้ข้อมูลที่โปร่งใสกับลูกหนี้มากขึ้น และช่วยเหลือด้านข้อมูลในการจัดการทางการเงินเมื่อมีหนี้ครัวเรือน

ปัญหาสำคัญของหนี้ครัวเรือน คือ เมื่อลูกหนี้มีหนี้ในระบบแล้วจนไม่สามารถชำระหนี้ได้ จะหันไปสร้างหนี้นอกระบบ จนสุดท้ายไม่สามารถชำระหนี้ได้ทั้งในและนอกระบบ ทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่แก้ไขได้ยาก 

อุปสรรคใหญ่ในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน คือ การไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องของหนี้นอกระบบ ซึ่งเมื่อไม่มีข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ และธปท.ก็ไม่ทราบจำนวนหนี้ที่แท้จริง และไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในภาพรวมได้ ดังนั้น ธปท. จึงคิดว่าทางแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน คือ การนำหนี้นอกระบบเข้ามาเป็นหนี้ในระบบ ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายที่สำคัญ เพราะการจะทำเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎเกณฑ์และข้อกฎหมายหลายประเด็น เพื่อทำให้หนี้นอกระบบสามารถเข้ามาเป็นหนี้ในระบบ

ส่วน ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวในเวทีเดียวกับดร. รุ่งว่า การที่หนี้ครัวเรือนของไทยยังอยู่ในระดับสูง สะท้อนปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่สมดุล และความเหลื่อมล้ำที่ฝังรากลึก ปัญหาหนี้ครัวเรือนมีความซับซ้อน เนื่องจากขาดข้อมูลที่จะทำให้เห็นภาระหนี้ได้อย่างครบถ้วน 

ในปัจจุบันยังมีผู้ให้บริการสินเชื่อในระบบที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของเครดิตบูโร  นอกจากนี้ ครัวเรือนจำนวนมากมีหนี้นอกระบบ ซึ่งเชื่อมกับเศรษฐกิจนอกระบบ 

จากงานวิจัยของธนาคารกรุงไทยร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ พบว่าประเทศไทยมีสัดส่วนเศรษฐกิจนอกระบบสูงถึงร้อยละ 48 ต่อจีดีพี ทั้งแรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบการนอกระบบ ส่วนตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่รวมหนี้นอกระบบอาจทะลุเกินร้อยละ 100 ต่อจีดีพี ขณะที่ครัวเรือนที่มีหนี้นอกระบบ อาจจะเป็นเจ้าหนี้นอกระบบในเวลาเดียวกัน

มีคำแนะนำในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยั่งยืน ควรยึด 5 แนวทางหลัก คือ

1.ความครอบคลุม (Inclusive) ต้องชัดเจนว่าจะใช้สวัสดิการ กลไกตลาด หรือการช่วยเหลือเฉพาะหน้า

2.ความเป็นธรรม (Fairness) ดอกเบี้ยต้องสะท้อนความเสี่ยงจริง ไม่สร้าง moral hazard

 3.การแข่งขันเท่าเทียม (Level Playing Field) ระหว่างสถาบันการเงินแต่ละประเภท 

4.การแข่งขันและการเข้าถึงข้อมูลที่เปิดกว้าง (Open Competition & Data Access) แข่งขันภายใต้กลไกตลาด 

5.การมีความรู้ความเข้าใจในการกู้ยืม (Healthy Borrowing) นำไปสู่การลงทุนสร้างสินทรัพย์และรายได้ มากกว่าการบริโภค

ในการแก้ปัญหาหนี้ มีความร่วมมือทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน ประกอบด้วยกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหอการค้าไทย ที่ร่วมมือกันเพื่อวางแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนครอบคลุม โดยมาตรการระยะแรก มุ่งเน้นการลดภาระทางการเงินและการปรับโครงสร้างหนี้ให้กลุ่มหนี้ครัวเรือนและ SME ที่เปราะบาง เช่น โครงการ “คุณสู้เราช่วย” ที่ดำเนินการไปแล้ว 

 สำหรับมาตรการระยะถัดไป จะเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งมี 3 ส่วน คือ

 1.ยกระดับสวัสดิการแบบเจาะจงเป้าหมาย(targeted) นำประชากรทุกคนเข้าระบบ สร้าง Safety net ที่เพียงพอและทั่วถึง โดยกระทรวงการคลังเตรียมใช้ Negative Income Tax ภายในปี 2570 

 2.ยกระดับข้อมูลประเทศ ผลักดันให้สถาบันการเงินเข้าระบบเครดิตบูโร ให้ครบถ้วนเพื่อข้อมูลที่ครอบคลุมลสำหรับการตัดสินใจ และลดความบิดเบือนของระบบ  

3.ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และรายได้ครัวเรือน  เสริมศักยภาพแรงงานไทย เพิ่มทักษะ  Upskill   Reskill เพื่อสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน  โดยการสนับสนุนของภาครัฐ ทั้งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ มาตรการภาษี และสิทธิประโยชน์อื่นๆ 

ทางด้าน ttb analytics มีการสำรวจวินัยทางการเงินจากฐานข้อมูลเครดิตบูโร (NCB)  เพื่อทำให้เห็นพฤติกรรมการก่อหนี้ของคนไทย

พบว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยกลายเป็นหนึ่งในประเด็นที่สร้างความกังวลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง

ส่วนหนึ่งสะท้อนผ่านการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เติบโตได้ค่อนข้างช้าสวนทางกับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว 

อีกทั้งพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลมีส่วนสำคัญในการเร่งการก่อหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ทำให้หลายคนตกอยู่ในวงจรหนี้โดยไม่ทันตั้งตัว 

เมื่อขาดความรู้ทางการเงินที่เพียงพอ การจัดการหนี้จึงกลายเป็นเรื่องยากสำหรับครัวเรือนและนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ในที่สุด 

สอดคล้องกับตัวเลขคุณภาพเครดิตสินเชื่อรายย่อยของธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 โดยยอดคงค้างสินเชื่อที่ค้างชำระหนี้ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป หรือ Stage 3 สูงถึงเกือบ 1.8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ  3.35 ของสินเชื่อรายย่อยทั้งหมด 

ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อที่เริ่มผิดนัดชำระหนี้ 1-3 เดือนยังค่อนข้างสูงถึงกว่า 4 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 7.62 ของสินเชื่อรายย่อยทั้งหมด ด้านการขยายตัวของสินเชื่อรายย่อยก็เป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยยังคงหดตัวถึงร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งเป็นการหดตัวติดต่อกัน 4 ไตรมาส

 ttb analytics มีการวิเคราะห์ถึงความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของหนี้คนไทย โดยใช้ข้อมูลบัญชีลูกหนี้ที่ไม่สามารถระบุตัวตน ของเครดิตบูโร เพื่อให้เข้าใจถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนและพฤติกรรมการก่อหนี้ของลูกหนี้มากขึ้น โดยเลือกใช้ข้อมูลบัญชีสินเชื่อรายย่อยของลูกหนี้ที่ถือมากกว่า 1 บัญชีระหว่างไตรมาสที่ 1 ของปี 2559 จนถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 และจะต้องมีการก่อหนี้ใหม่ (New Booking) ในช่วงระหว่างไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 จนถึงไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ซึ่งมีจำนวนลูกหนี้ที่มีบัญชีสินเชื่อรายย่อยในกลุ่มนี้ทั้งสิ้น 1.6 ล้านราย แบ่งออกเป็นลูกหนี้ที่มีบัญชีสินเชื่อ 2 บัญชี 5.9 แสนราย ลูกหนี้ที่มีบัญชีสินเชื่อ 3-4 บัญชีทั้งหมด 6.4 แสนราย และลูกหนี้ที่มีบัญชีสินเชื่อมากกว่า 4 บัญชีอีกราว 3.7 แสนราย

จากวิเคราะห์ข้อมูลทำให้เห็นพฤติกรรมของลูกหนี้ที่มีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้ตามการถือและลำดับการถือผลิตภัณฑ์สินเชื่อ 

ถ้าจำแนกตามกลุ่มความเสี่ยงตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 

1. ผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่มีหลักประกัน หรือมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ค่อนข้างต่ำ ได้แก่ สินเชื่อบ้าน สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อบัตรเครดิต 

2. ผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันหรือมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ค่อนข้างสูง ได้แก่ สินเชื่อมอเตอร์ไซค์ สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อเช่าซื้ออื่น ๆ เช่น สินเชื่อเพื่อซื้อโทรศัพท์มือถือและเครื่องใช้ไฟฟ้า

ถ้าจำแนกตามกลุ่มลูกหนี้ 3 กลุ่มพบว่า 

1. “กลุ่มลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ” เป็นลูกหนี้ที่ถือผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำทั้งหมด ซึ่งลูกหนี้กลุ่มนี้มีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้ค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะผู้ที่ถือสินเชื่อบ้านร่วมกับสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์หรือบัตรเครดิต ซึ่งมีอัตราการผิดนัดชำระหนี้มากกว่า 90 วัน เพียงร้อยละ 0.3–5.4 ของลูกหนี้ที่ถือผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ทั้งหมด แม้ในกรณีที่ลูกหนี้ถือบัตรเครดิตหลายใบ (บางคนถือสูงสุดถึง 7 ใบ) ก็ยังพบว่ามีสัดส่วนบัญชีที่ผิดนัดชำระหนี้เพียงร้อยละ 0.2 อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังเกี่ยวกับความเสี่ยงจากพฤติกรรมการชำระขั้นต่ำของกลุ่มสินเชื่อบัตรเครดิตที่อาจสะสมเป็นปัญหาในระยะยาว

2. “กลุ่มลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงปานกลาง” เป็นกลุ่มที่ถือผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูงผสมผสานกับการถือผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยจากการศึกษาพบว่าร้อยละ 15.5 ของลูกหนี้ที่มีสินเชื่อบัตรเครดิตร่วมกับสินเชื่อส่วนบุคคลผิดนัดชำระหนี้ภายในระยะเวลา 1 ปี นับจากช่วงเวลาที่ก่อหนี้ใหม่ล่าสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากลูกหนี้มีประวัติผิดนัดชำระหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ก่อนแล้ว ก็มักจะผิดนัดชำระหนี้ในผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่นตามมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ยิ่งกว่านั้น ในกรณีที่ลูกหนี้อยู่ระหว่างใช้สินเชื่อในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง และมีความประสงค์ขอสินเชื่อใหม่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ ลูกหนี้จะมีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่า

3. “กลุ่มลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง” โดยลูกหนี้ที่ถือสินเชื่อในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงมีสัดส่วนลูกหนี้ค้างชำระเกิน 90 วันในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์เฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 2.2-26.3 ยกตัวอย่างเช่น ลูกหนี้ที่มีสินเชื่อมอเตอร์ไซค์ไปพร้อม ๆ กับสินเชื่อส่วนบุคคลหรือสินเชื่อเช่าซื้ออื่น ๆ อีกมากกว่า 1 บัญชี มีสัดส่วนการผิดนัดชำระหนี้เฉลี่ยร้อยละ 25 ของจำนวนบัญชีเหล่านั้น โดยเฉพาะลูกหนี้ที่ถือสินเชื่อส่วนบุคคลตั้งแต่ 4 บัญชีขึ้นไป มีสัดส่วนการผิดนัดชำระหนี้สูงกว่า ร้อยละ 30 ของจำนวนลูกหนี้ในกลุ่มนี้ทั้งหมด

จากการศึกษาข้างต้น ttb analytics ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ระดับการก่อหนี้ในกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลมีความเชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนหนี้เสียของลูกหนี้ในภาพรวมอย่างมีนัย โดยพิจารณาพฤติกรรมการก่อหนี้ใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่

1. ลำดับการก่อหนี้ โดยกลุ่มที่เริ่มเข้าสู่วัยทำงาน (First-jobber) ที่เริ่มต้นก่อหนี้จากการใช้ผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคลเป็นอันดับแรก ๆ มักมีแนวโน้มที่จะผิดนัดชำระหนี้มากกว่าเมื่อเทียบกับลูกหนี้ที่ถือสินเชื่อประเภทอื่นเป็นอันดับแรก (Sequential Impact) นอกจากนี้ ยังพบว่าลูกหนี้ที่มีพฤติกรรมชำระค่างวดสินเชื่อส่วนบุคคลล่าช้ายังมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้สินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 4 เท่า และความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้สินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายในระยะเวลา 2 - 3 เดือน

2. จำนวนผลิตภัณฑ์ที่ถือ ลูกหนี้ที่มีสินเชื่อส่วนบุคคล 2 บัญชีขึ้นไป มีความเชื่อมโยงกับคุณภาพเครดิตของลูกหนี้ที่ย่ำแย่ลง โดยลูกหนี้ที่ถือสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นผลิตภัณฑ์แรกมักมีแนวโน้มก่อสินเชื่อใหม่เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลเช่นเดิมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ผิดนัดชำระหนี้สูงถึงร้อยละ 15.2 อีกทั้งลูกหนี้จะผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 17.3 เมื่อถือสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มเป็น 3 บัญชี

3. แหล่งที่มาของผู้ให้กู้ โดยพบว่าลูกหนี้ที่มีสินเชื่อส่วนบุคคล 2 บัญชีผสมผสานกันระหว่างผู้ให้กู้ที่มาจากทั้งธนาคารพาณิชย์ (Bank) และกลุ่มนอนแบงก์ (Non-bank) มักมีประวัติการผิดนัดชำระหนี้สูง โดยลูกหนี้ที่มีสินเชื่อส่วนบุคคล 2 บัญชีที่มาจาก Non-bank ก่อน ตามด้วยการก่อหนี้จาก Bank มีสัดส่วนบัญชีที่ผิดนัดชำระหนี้กว่าร้อยละ 20.1 และหากลูกหนี้ที่เริ่มถือสินเชื่อส่วนบุคคลจาก Bank ก่อน และตามด้วย Non-bank เป็นลำดับถัดมา มีสัดส่วนบัญชีที่ผิดนัดชำระหนี้สูงถึงร้อยละ 23.9 ของลูกหนี้ที่มีสินเชื่อส่วนบุคคล 2 บัญชีทั้งหมด

การเริ่มต้นก่อหนี้อย่างไม่รอบคอบ การถือสินเชื่อหลายบัญชี และการพึ่งพาเงินกู้จากหลากหลายแหล่งที่มา ล้วนเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้ในอนาคต ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางทางการเงินของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่เริ่มต้นก่อหนี้จากสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งมีแนวโน้มจะวนเวียนอยู่ในวงจรหนี้ และมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ในผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่น ๆ ตามมาอย่างไม่รู้จบ


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง