รีเซต

‘Space Race’ สงครามเย็น สู่การแข่งขันในอวกาศ?

‘Space Race’ สงครามเย็น สู่การแข่งขันในอวกาศ?
TNN ช่อง16
18 กันยายน 2568 ( 15:50 )
13

วันนี้จะมาชวนทุกคนไปอวกาศกัน แต่ก่อนที่จะได้เป็นหนึ่งในคนที่มีโอกาสได้ไป จะขอพาคุณผู้ชมเดินทางย้อนเวลากลับไปสู่ “Space Race” เส้นทางการแข่งขันทางอวกาศของโลกเรา ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในยุคสงครามเย็นที่โลกในเวลานั้นแบ่งออกเป็นสองขั้วมหาอำนาจคือสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต และจากสงครามเย็นในโลก ทั้งสองมหาอำนาจได้เข้าสู่สนามรบในอวกาศ  


จุดเริ่มต้น Space Race


ปี ค.ศ. 1957 โลกทั้งใบตื่นเต้นกับเหตุการณ์สำคัญของ Sputnik 1 ดาวเทียมโลหะขนาดเท่าลูกบาสเกตบอล ที่สหภาพโซเวียตได้ส่งขึ้นไปโคจรรอบโลก 


เสียงสัญญาณวิทยุเล็กๆ จากวัตถุเล็กๆ บนนั้นดังไปทั่วโลก และได้กลายเป็นสัญญาณเริ่มต้นของ “การแข่งขันทางอวกาศ” สนามรบใหม่ของสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต 


หลังจาก Sputnik โคจรขึ้นไปบนฟ้า โลกก็เปลี่ยนไปตลอดกาล นี่ไม่ใช่แค่ความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็น “การประกาศพลัง” ของสหภาพโซเวียตที่ทำให้ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ต้องขยับทำอะไรบ้างแล้ว


เพราะในยุคนั้น เป็นยุคที่โลกกำลังอยู่ในช่วงของสงครามเย็น เกิดการแบ่งขั้วอำนาจออกเป็น 2 ขั้ว สหรัฐฯ กับ สหภาพโซเวียต ดังนั้น จึงไม่ใช่แค่การแข่งขันกันทางอุดมการณ์ทางการเมือง แข่งขันสะสมอาวุธและพันธมิตร แข่งขันทางเศรษฐกิจ แต่ยังแข่งขันในเวทีนอกโลกอย่างอวกาศที่กลายเป็นเวทีใหม่ที่ใครก็ไม่สามารถถอยได้ 


Sputnik สร้างความตกอกตกใจให้สหรัฐฯ ไม่น้อย จนขนาดที่ในตอนนั้นเองมีปรากฏการณ์ที่ถูกเรียกว่า “Sputnik Shock” เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นกระแสแรงจนทำให้สหรัฐฯ ต้องลุกขึ้นมาตั้งหน่วยงานใหม่ด้านอวกาศโดยเฉพาะของตัวเองที่ชื่อว่า “องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ NASA” ในปี 1958 


แต่สนามรบอวกาศยังร้อนแรงต่อไปอีก เพราะปรากฏว่าในปี 1961 โซเวียตได้สร้างความฮือฮาอีกครั้ง เมื่อ Yuri Gagarin นักบิวอวกาศหนุ่มวัย 27 ปี กลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ไปโคจรรอบโลก 


เสียงประกาศว่า “Poekhali!” หรือ ไปกันเถอะ! ของ Gagarin ดังก้องไปทั่วโลกเพราะอีกนัยหนึ่งหมายความว่า โซเวียตชนะด้าน Soft Power ยืนอยู่เหนือสหรัฐฯ ได้อีกก้าวแล้ว 

เราจะไปดวงจันทร์กัน


แต่มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ไม่มีวันยอมแพ้ เพียงไม่กี่เดือนหลังจากโซเวียตส่ง Yuri Gagarin ขึ้นสู่อวกาศ ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดีของสหรัฐฯ ก็ตอบกลับด้วยคำปราศรัยว่า 


“เราจะไปดวงจันทร์ ภายในทศวรรษนี้ 

ไม่ใช่เพราะมันง่าย แต่เพราะมันยากนี่แหละ”


ประโยคนี้ไม่ใช่แค่คำสัญญา แต่น่าจะเป็นการท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเลยทีเดียว สหรัฐฯ ทุ่มทรัพยากรระดับชาติสร้าง “โครงการ Apollo11” เพื่อพามนุษย์ 3 คนขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ 20 กรกฎาคม ปี 1969 เสียงของ นีล อาร์มสตรอง 1 ในนักบินอวกาศที่ไปเหยียบดวงจันทร์ในภารกิจนี้ของสหรัฐฯ ดังก้องว่า 


“นี่คือก้าวเล็กๆ ของมนุษย์หนึ่งคน

แต่คือก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ”


จากคู่แข่งสู่ความร่วมมือ 


ชัยชนะของสหรัฐฯ บนดวงจันทร์ ในปี 1969 ทำให้โลกเห็นว่า Space Race เป็นมากกว่าการวิ่งแข่งกันเพื่อเทคโนโลยี แต่มันยังเป็นการแสดงอำนาจและการเมืองระดับโลกด้วย 


แต่เมื่อผ่านช่วงพีคของการแข่งขัน ปรากฏว่าทั้งสองขั้วอำนาจก็เริ่มมองเห็นสิ่งเดียวกันนั่นคือ อวกาศไม่ใช่สนามรบที่ปล่อยให้แข่งกันได้เรื่อยๆ ตลอดไป 



กลางทศวรรษที่ 1970 โลกในเวลานั้นได้เห็นภาพที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เมื่อ "Apollo-Soyuz Test Project" กำเนิดขึ้น นี่คือโครงการความร่วมมือของทั้งสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต การจับมือของนักบินอวกาศอเมริกันและนักบินอวกาศโซเวียต ทั้งสองฝ่ายยื่นมือหากันในห้วงสุญญากาศ 


ซึ่งภาพ handshake นี้ กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญว่านอกเหนือจากการแข่งขันกัน อวกาศยังกลายเป็น “สะพาน” เชื่อมความเป็นมนุษย์เข้าหากันได้ เพราะแม้ทั้งสองประเทศจะเป็นคู่แข่งกันกันทางการเมืองและอาวุธนิวเคลียร์บนโลก แต่ในอวกาศพวกเขาเลือกที่จะร่วมมือกันได้ 


เริ่มต้นยุคสำรวจอวกาศไปด้วยกัน 


หลังภาพการจับมือกันของสองขั้วอำนาจ ได้เปิดทางให้โลกเข้าสู่ยุคใหม่ของการสำรวจอวกาศ ยุคที่ไม่ใช่การแข่งขันว่าใครเหนือกว่าใคร แต่คือการหาวิธีไปให้ไกลกว่าเดิมด้วยกัน 


ปี 1981 สหรัฐฯ เปิดตัว “กระสวยอวกาศ หรือ Space Shuttle” ยานที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ นี่คือก้าวสำคัญที่ทำให้อวกาศไม่ได้เป็นเพียง “ภารกิจพิเศษ” แต่เริ่มกลายเป็นกิจวัตรของมนุษย์ 


ตลอด 30 ปีของโครงการ กระสวยอวกาศได้พาดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร ส่งกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลออกไปส่องจักรวาล และที่สำคัญยังเป็นเครื่องมือหลักในการสร้าง “สถานีอวกาศนานาชาติ - ISS” อีกด้วย 


ISS หรือ Internatonal Space Station คือห้องแล็ปลอยฟ้าในวงโคจรต่ำของโลก ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือระดับโลก และนับตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา นักบินอวกาศจากสหรัฐฯ รัสเซีย ญี่ปุ่น ยุโรป และอีกหลากหลายประเทศก็ใช้ชีวิตและทำงานร่วมกันในวงโคจรห้องแล็ปนี้ที่อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองบนพื้นโลก 


ถ้าพูดแบบง่ายๆ เลยก็เหมือนว่า อวกาศคือบ้านหลังเดียวกันของมวลมนุษยชาติ

กำเนิดผู้เล่นหน้าใหม่ในห้วงอวกาศ 


หลังจากสหรัฐฯ และโซเวียต หรือรัสเซียในเวลาต่อมา เลือกที่จะจับมือกันสร้างสถานีอวกาศนานาชาติด้วยกันแล้ว แต่ทว่า Space Race ก็ไม่ได้จบลงแต่อย่างใด มันเป็นเพียงการเปลี่ยนรูปแบบเท่านั้น เพราะการแข่งขันในศตวรรษใหม่ ได้กำเนิดผู้เล่นหน้าใหม่ ที่ไม่ได้มีแค่สองมหาอำนาจอีกต่อไป ประเทศใหม่ๆ รวมถึงบริษัทเอกชนต่างๆ เริ่มก้าวเข้ามาเล่นในเกมอวกาศนี้

และนี่คือจุดเริ่มต้นของ Space Race 2.0 


จีน ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นรายสำคัญ ในปี 2003 จีนส่งนักบินอวกาศของตัวเองขึ้นสู่วงโคจร จากนั้นได้พัฒนาโครงการ เทียนกง Space Station หรือสถานีอวกาศเทียนกงของตัวเอง และตั้งเป้าหมายใหญ่คือการสร้างฐานถาวรบนดวงจันทร์ 


ส่วนอินเดียก็ไม่ยอมแพ้ กำเนิดโครงการ จันทรายาน-3 ประสบความสำเร็จในการลงจอดที่ “ขั้วใต้ของดวงจันทร์” ซึ่งบริเวณนี้เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการค้นหาน้ำแข็งและแร่ธาตุหายาก ทำให้อินเดียกลายเป็น “ผู้นำใหม่ของ Global South โลกทางใต้” ในเวทีอวกาศ 


ขณะเดียวกัน บริษัทเอกชนก็เข้ามาพลิกเกม ร่วมอยู่ในการแข่งขันนี้ด้วย อย่าง SpaceX ของมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์ ทำจรวดให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้จริง เพื่อลดต้นทุนการเดินทางสู่อวกาศลงซึ่งใช้เงินมหาศาล และกับโปรเจกต์ใหญ่อย่างการพามนุษย์ไปดาวอังคาร 


ส่วน Blue Origin ของมหาเศรษฐีอีกราย เจฟฟ์ เบโซส มีโครงการน่าสนใจอย่าง New Shepard คือการใช้จรวด suborbital แบบ reusable พาคนทั่วไปขึ้นถึงขอบอวกาศ สัมผัสภาวะไร้น้ำหนักราวๆ 10 นาที ซึ่งตัวเจฟฟ์ เบโซสเองก็เคยขึ้นไปเองแล้วเมื่อปี 2021 


ขณะที่เอกชนอีกเจ้าอย่าง Virgin Galactic มีโครงการ SpaceShipTwo ยานอวกาศลำเล็กปล่อยจากเครื่องบินแม่ บินพาผู้โดยสารขึ้นไป ซึ่งเอกชน 2 เจ้าหลังนี้จะเน้น Space Tourism เหมือนกัน แต่ต่างกันที่เทคโนโลยีที่ใช้ 


ส่วนรูปแบบการบินไปอวกาศอธิบายสั้นๆ คือจะมีอยู่ 2 ประเภท ‘Orbital Flight’ และ ‘Suborbital Flight’ โดย Orbital Flight จะเป็นการบินยานอวกาศรอบโลกด้วยความเร็วที่สูงกว่าความเร็วโคจรรอบโลก หรือเพียงพอที่จะไม่ตกกลับสู่โลก  ส่วน Suborbital Flight จะไม่ได้มีการบินโคจร แต่จะบินขึ้นไปตรงๆ เปรียบเสมือนการกระโดดขึ้นสู่อวกาศ และใช้ความเร็วที่ต่ำกว่า Orbital Flight ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่บริษัทท่องเที่ยวอวกาศเอกชน


ก้าวต่อไปของประเทศไทยในอวกาศ


จากการแข่งขันของมหาอำนาจโลก สู่การเข้ามาของบริษัทเอกชนละนักท่องเที่ยวอวกาศ วันนี้ Space Race ไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลตัวของทุกคนอีกต่อไป เพราะประเทศไทยเองก็มีเรื่องราวของการเดินทางสู่อวกาศ ตั้งแต่ดาวเทียมไทยโชต ในโครงการ Thailand Earth Observation Satelite หรือ THEOS ดาวเทียมสำรวจโลกดวงแรกของไทย ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2008 พัฒนาโดย Airbus ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA ซึ่งจากเรื่องราวเหล่านี้ เราอาจบอกได้ว่าไทยมีดวงตาในอวกาศ แต่เรายังไม่มีนักบินอวกาศตัวแทนประเทศไทย


Space Race ไม่เคยหยุดนิ่ง และวันนี้ความฝันของการส่งคนไทยขึ้นไปอวกาศเดินทางมาถึงแล้ว 

  • “ทรูวิชั่นส์ นาว” จับมือพันธมิตรระดับโลกอย่าง “SERA” และ “CREASIA” ประกาศเปิดตัวโครงการครั้งประวัติศาสตร์ เฟ้นหาคนไทยคนแรกเพียงหนึ่งเดียว สู่การเดินทางบนยานอวกาศ Blue Origin New Shepard ณ สหรัฐอเมริกา ผ่านรายการเรียลลิตี้ฟอร์แมตยักษ์ครั้งแรกในไทย “Race to space Thailand : ศึกพิชิตอวกาศ” นี้ไม่ใช่แค่การแข่งขัน แต่คือความท้าทายระดับโลกครั้งสำคัญที่จะสร้างแรงบันดาลใจ และเปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนได้พิสูจน์ฝันครั้งนี้ เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ ออกอากาศเดือนพฤศจิกายน ทาง “ทรูวิชั่นส์ นาว”

  • ผู้สนใจสามารถสมัครได้ที่แอปพลิเคชั่น TrueVisions NOW ได้แล้วตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน - 10 ตุลาคม 2568

นี่คือก้าวย่างสำคัญที่ทำให้ “คนธรรมดา” มีสิทธิ์เดินทางสู่อวกาศได้จริง และการแข่งขันนี้กำลังจะเริ่มต้นในไม่ช้า  

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง