รีเซต

ชายฝั่งกำลังถูกทิ้ง เพราะรับมือโลกร้อนไม่ไหว

ชายฝั่งกำลังถูกทิ้ง เพราะรับมือโลกร้อนไม่ไหว
TNN ช่อง16
25 ธันวาคม 2568 ( 11:00 )
20

ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา พื้นที่ชายฝั่งทะเลเป็นศูนย์กลางของการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ การค้า และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ปัจจุบันประชากรมากกว่า 40% ของโลกอาศัยอยู่ภายในระยะ 100 กิโลเมตรจากชายฝั่ง อย่างไรก็ตาม ภายใต้ภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้น ชุมชนชายฝั่งทั่วโลกกำลังเผชิญภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้น ทั้งระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น การกัดเซาะชายฝั่ง น้ำท่วม และพายุหมุนเขตร้อน งานวิจัยใหม่ที่ใช้ข้อมูลแสงไฟยามค่ำคืนจากดาวเทียมได้เปิดเผยภาพรวมระดับโลกเป็นครั้งแรกว่า มนุษย์กำลังถอยร่นออกจากชายฝั่งมากเพียงใด และเพราะเหตุใด

 

งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Nature Climate Change เป็นความร่วมมือของนักวิจัยนานาชาติ นำโดยมหาวิทยาลัยเสฉวน และนักวิจัยด้านรีโมตเซนซิงจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน โดยศึกษาเขตชายฝั่ง 1,071 แห่ง ใน 155 ประเทศ ระหว่างปี ค.ศ. 1992–2019 ผ่านการผสานข้อมูลแสงไฟยามค่ำคืนกับข้อมูลทางเศรษฐกิจและสังคมระดับโลก

 

ผลการศึกษาพบว่า 56% ของพื้นที่ชายฝั่งทั่วโลกมีการถอยร่นเข้าสู่แผ่นดิน ขณะที่ 16% เคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่งมากขึ้น และอีก 28% คงที่ แอฟริกา (67%) และโอเชียเนีย (59%) เป็นภูมิภาคที่มีการถอยร่นสูงสุด ในขณะที่บางส่วนของเอเชียและอเมริกาใต้ยังคงขยายตัวสู่แนวชายฝั่ง แม้ต้องเผชิญความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

ประเด็นสำคัญของงานวิจัยนี้คือ การถอยร่นไม่ได้เกิดจาก “ความถี่ของภัยพิบัติในอดีต” เป็นหลัก แต่เกิดจากความเปราะบางในปัจจุบันของพื้นที่ โดยเฉพาะการขาดโครงสร้างป้องกันและศักยภาพในการปรับตัวทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง พื้นที่ที่ไม่สามารถปกป้องตนเองได้มักถอยร่นเร็วกว่า 

งานวิจัยยังชี้ให้เห็นช่องว่างด้านการปรับตัว (adaptation gap) อย่างชัดเจน โดยเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศรายได้น้อย โดยเฉพาะในแอฟริกาและเอเชีย ไม่สามารถถอยร่นได้ แม้จะเผชิญความเสี่ยงสูง เนื่องจากความจำเป็นด้านปากท้อง การพึ่งพาที่ดินชายฝั่ง และการขาดทรัพยากรทางเลือก ส่งผลให้ประชากรจำนวนมากยังคงเสี่ยงต่ออุทกภัยและการกัดเซาะ

ในทางกลับกัน ประเทศรายได้ปานกลางกลับเป็นกลุ่มที่มีการถอยร่นมากที่สุด เนื่องจากอยู่ในจุดเปลี่ยน คือมีทรัพยากรและสถาบันเพียงพอที่จะสนับสนุนการย้ายถิ่น แต่ยังไม่มั่งคั่งมากพอจะพึ่งพาโครงสร้างป้องกันชายฝั่งขั้นสูงได้อย่างเต็มที่

 

ส่วนประเทศรายได้สูง เช่น เดนมาร์ก รวมถึงกรุงโคเปนเฮเกน กลับเป็นตัวอย่างของพื้นที่ที่ยังคงขยายตัวเข้าใกล้ชายฝั่ง แม้จะตระหนักถึงความเสี่ยง เหตุผลสำคัญคือความเชื่อมั่นในโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีเตือนภัย และนโยบายของรัฐ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่า “ความเชื่อมั่นเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ” เมื่อการกัดเซาะชายฝั่งเริ่มปรากฏชัด และการวางแผนเชิงรุกในพื้นที่ตอนในกลายเป็นสิ่งจำเป็นมากขึ้น

การวิเคราะห์ทางสถิติด้วยวิธี mixed-effects modelling พบว่า การเพิ่มศักยภาพในการปรับตัวเพียง 1% สามารถลดอัตราการถอยร่นได้ถึง 4.2% และการเพิ่มการป้องกันเชิงโครงสร้าง 1% ลดอัตราการถอยร่นได้ถึง 6.4% ตอกย้ำบทบาทสำคัญของนโยบายและการลงทุนด้านการปรับตัว

 

งานวิจัยชิ้นนี้สะท้อนให้เห็นว่า การเคลื่อนย้ายของชุมชนชายฝั่งทั่วโลกไม่ได้เป็นเพียงผลจากภัยธรรมชาติ แต่เป็นผลลัพธ์ของ ความเปราะบางทางสังคมและศักยภาพในการรับมือกับความเสี่ยง ประเทศและเมืองที่ยังคงพัฒนาใกล้ชายฝั่ง เช่น โคเปนเฮเกน จำเป็นต้องเรียนรู้จากพลวัตระดับโลก เพื่อหลีกเลี่ยงการปรับตัวที่ผิดพลาดในอนาคต

 

ในระดับโลก นักวิจัยเสนอให้เปลี่ยนจากการถอยร่นเชิงรับหลังเกิดความเสียหาย ไปสู่การวางแผนเชิงรุก ที่ผสานมิติทางสังคมเข้าในการจัดการชายฝั่งระยะยาว พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า ยังจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม โดยเฉพาะในประเทศที่มีความเปราะบางสูง ซึ่งข้อมูลแสงไฟยามค่ำคืนอาจไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริงของชุมชนที่ยังขาดไฟฟ้าได้อย่างครบถ้วน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง