รีเซต

หุ้นส่งออกน่าลงทุนต่อหรือไม่? หลัง "ทรัมป์" เก็บภาษีตอบโต้ 19% เช็กเลย!

หุ้นส่งออกน่าลงทุนต่อหรือไม่? หลัง "ทรัมป์" เก็บภาษีตอบโต้ 19% เช็กเลย!
TNN ช่อง16
30 สิงหาคม 2568 ( 11:55 )
30

ผู้นำเข้าทั่วโลกโหมกระหน่ำนำเข้าสินค้า  หวังปิดความเสี่ยงก่อนภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้เดือนส.ค. เป็นแรงส่งให้ตัวเลขส่งออกเดือนก.ค. ทะลุ 28,580.7 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 11% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ 16.6% ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 28,258.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว  5.1%  ส่งผลให้ไทยเกินดุล 322.1 ล้านดอลลาร์

ขณะที่ภาครัฐสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนว่า จะสามารถบรรลุผลการเจรจาอัตราภาษีกับสหรัฐ ได้อย่างลุล่วง และพร้อมมีมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบด้านภาษีของสหรัฐ เป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อธุรกิจส่งออกของไทย และดุลการค้าของไทยเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยการส่งออกขยายตัวในอัตราสูงในเกือบทุกกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม

ส่วนภาพรวมการส่งออก 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.)  มีมูลค่า 195,432.6 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 14.4%  เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 195,172.7 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 10.6% ดุลการค้า เกินดุล 259.9 ล้านดอลลาร์ หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ 14.5%

สำหรับทิศทางการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเป็นอย่างไร หลังจากที่ “ทรัมป์” ประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้าจากทั่วโลกในอัตราที่แตกต่างกัน โดยไทยถูกจัดเก็บ 19% และหุ้นตัวไหนได้รับประโยชน์-เสียประโยชน์จากส่งออกที่เร่งตัวขึ้นกันบ้างในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ

 เริ่มจาก ชาญชัย พันทาธนากิจ” ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) มองว่า ได้เห็นสัญญาณตัวเลขส่งออกเริ่มโตในอัตราที่ชะลอตัวลงเดือนก.ค. จากเดิมเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมาโต 15.5% เพราะผู้นำเข้าเร่งออร์เดอร์ก่อนภาษีทรัมป์จะมีผลบังคับใช้  นอกจากนี้การส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ เดือนมิ.ย.โต 42% เดือนก.ค.โต 31% ซึ่งหลังจากภาษีมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในเดือนส.ค.นี้ คาดว่าส่งออกจะลดความร้อนแรงลง   ซึ่งถ้าอิงข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คาดว่าส่งออกปีนี้โต 4% โดยตลาดสหรัฐฯมีสัดส่วนประมาณ 20% ของส่งออกทั้งหมด 

ขณะที่จีดีพีของบล.เมย์แบงก์ ประเมินว่าจะเติบโตที่ 2.3% โดยครึ่งปีแรกโต 3% ไตรมาส 3/68 โต 1.8% และไตรมาส 4/68 โต 1.5%


ส่วนตัวเลขท่องเที่ยวที่เป็นอีกตัวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็ฟื้นตัวช้า โดยปีนี้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 34 ล้านคนบวกลบแต่เชื่อว่ามาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.ร่วมมือกับ 6 สายการบินภายในประเทศไทย ได้แก่ การบินไทย บางกอกแอร์เวย์ส ไทยแอร์เอเชีย นกแอร์ ไทยไลอ้อนแอร์ และเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติซื้อบัตรโดยสารเครื่องบินราคาปกติเข้ามาประเทศไทย จะได้รับบัตรโดยสารเครื่องบินฟรีไป-กลับ เส้นทางภายในประเทศ พร้อมน้ำหนักกระเป๋า 20 กิโลกรัม โดยนักท่องเที่ยวสามารถเลือกใช้บัตรโดยสารได้เพียง 1 เที่ยว ตามรูปแบบการท่องเที่ยวที่วางแผนไว้เป็น sentiment เชิงบวกต่อท่องเที่ยวในช่วงปลายปี

กลยุทธ์การลงทุนเน้น หุ้น Selective Buy เลือก GFPT  เนื่องจากไม่มีตลาดในสหรัฐฯ โดยต้นทุนอาหารสัตว์น่าจะปรับตัวลดลง หลังจากที่ไทยมีการนำเข้าอาหารสัตว์จากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นหนุนทำให้บริษัทมีกำไรดีขึ้น    

ส่วนหุ้นที่ควรเลี่ยงคือ SAPPE  เพราะมีรายได้จากการส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐฯ มาก ซึ่งเมื่อเจอภาษีนำเข้าที่ 19%   อาจทำให้บริษัทต้องปรับราคาสินค้าตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 

ขณะเดียวกันตัวเลขส่งออกที่ชะลอตัว และจีดีพีโตไม่มากนัก   ซึ่งการใช้นโยบายดอกเบี้ยขาลงยังมีอยู่ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกครั้งในปลายปีนี้  แนะนำ หุ้น SAWAD

ส่วนหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม หลังภาษีทรัมป์ประกาศชัดเจน การใช้กลยุทธ์ China Plus One เพื่อกระจายการลงทุนและการผลิตไปยังประเทศอื่น ๆ นอกเหนือจากจีน ลดความเสี่ยงที่เกิดจากการพึ่งพาจีนเพียงประเทศเดียว และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับห่วงโซ่อุปทานจะส่งผลดีต่อหุ้นนิคมฯ เชิงกลยุทธ์แนะนำ WHA

ด้าน “กรรณ หทัยศรัทธา” นักกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์  บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)  มองว่า ตัวเลขส่งออกในช่วงที่เหลือของปีจะโตในอัตราที่ชะลอตัว เห็นได้จากตัวเลขส่งออกเดือนพ.ค.อยู่ที่ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่มาในเดือน ก.ค. แตะที่ระดับ 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อเจอมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs)  19%  

ดังนั้นตัวเลขส่งออกจะโต 10-11% เป็นเรื่องที่ยาก โดยในเดือนส.ค.-ก.ย. ซึ่งเป็นช่วงไตรมาส 3 คาดว่าส่งออกจะโตเพียง 1-2%   แต่ในไตรมาส 4/68 เศรษฐกิจไทยจะติดลบ ประเมินทั้งปีส่งออกบวก 2.5% นำเข้าบวก 4-5% ดุลการค้าอาจขาดดุล

 

สำหรับทิศทางส่งออกในปีหน้าอาจจะเหนื่อยหน่อย จากฐานปีนี้ที่สูงจากความกลัวเรื่องภาษีทรัมป์ทำให้มีการเร่งส่งออก-นำเข้า ดังนั้นความเสี่ยงสูง และมีประเด็นเรื่องสินค้าสวมสิทธิ์  หรือ Transshipment  ยังไม่แน่ใจว่าไทยจะเจอเกณฑ์อะไร  และไทยมีสินค้าที่นำเข้าจากจีน และขาดดุลกับจีนสูง ถูกจัดเก็บขึ้นภาษีในอัตราที่สูง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมาไทย ดังนั้นการท่องเที่ยวปีหน้ายังไม่ฟื้น ภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง โครงการลงทุนใหม่ ๆ ยังไม่มี คาดว่าจีดีพีปีหน้าจะโต 1.5% จากปีนี้โต 2.2%

ทั้งนี้เห็นว่าแนวโน้มส่งออกที่ชะลอตัวลงควรเลี่ยงลงทุนหุ้นเกี่ยวกับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น DELTA,HANA,KCE รวมถึงหุ้น TU,ITC,ASIAN  เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งมากผู้ส่งออกได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าจึงไม่แนะนำ  

ด้านทิศทางดอกเบี้ยมองว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปลายปีนี้ โดยหุ้นแบงก์แม้ว่ารายได้ลดลง แต่แบงก์ใหญ่ยังมีกำไรเกิน 10,000 ล้านบาท  และหุ้นกลุ่มแบงก์ทุกตัวปันผลสูง เลือก KTB  งบดุลแข็งแกร่ง (ADD) อัตราการเติบโตของสินเชื่อในปี 2025-26 ของ KTB น่าจะมี upside จากสินเชื่อรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ และสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่  

ซึ่งได้ปรับประมาณการ EPS ในปี FY25-27 ขึ้น 6.1-10.9% หลังปรับเพิ่มสมมติฐานอัตราการเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย และปรับลดอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ โดยแนะนำ “ซื้อ” KTB และราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 28.60 บาท

หุ้นตัวต่อมาคือ GULF - วางรากฐานในสินทรัพย์เพื่อความยั่งยืนระยะยาว (ADD) ซึ่งมอง GULF ค่อยๆ ดำเนินกลยุทธ์การเติบโต โดยมีแผนงานลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน, LNG และสร้างผลกำไรจากสินทรัพย์หลักๆอย่างต่อเนื่อง ในปี FY25F นอกเหนือจากปัจจัยหนุนที่สำคัญเช่นโรงไฟฟ้าปลวกแดง โรงไฟฟ้าหินกอง และเงินลงทุนใน ADVANC แล้ว การเติบโตยังขับเคลื่อนจากการถือ 49% ในโรงไฟฟ้า Jackson และธุรกิจ Data centre   อย่างไรก็ตาม การมีงบดุลที่แข็งแกร่งขึ้น Net D/E 0.9x ทำให้ GULF เตรียมงบลงทุน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐในช่วงห้าปีข้างหน้า พร้อมทั้งมองหาโอกาสซื้อกิจการในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน

หุ้นถัดมาคือ CPALL - ทำกำไรสม่ำเสมอแม้ว่า SSSG จะอ่อนตัว (ADD)  โดย CPALL  กําไรสุทธิ 6.8 พันล้านบาท (+8.5% yoy, -10.8% qoq) ใน 2Q25 ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของเราและ Bloomberg consensus  แม้ว่า SSSG ยังมีแนวโน้มอ่อนตัว แต่ CPALL น่าจะยังมีกำไรสุทธิเติบโตใน 3Q25 จาก GPM ที่สูงขึ้น ยังแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายเดิม 61.50 บาท

ปิดท้ายที่ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ที่ประเมินว่า ตัวเลขส่งออกได้เริ่มชะลอตัวลงในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากเดิมที่เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก และช่วงที่เหลือของปีผู้ส่งออกรับผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีทรัมป์แน่นอน ดังนั้นทั้งปีคาดว่าส่งออกโตได้ 1% หลังจากที่ช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.)โต 12.3%YOY 

แต่ในครึ่งปีหลัง (ก.ค.-ธ.ค.) จะติดลบ  ซึ่งสินค้าที่จำเป็นยังไปได้ดี เช่น ไก่ หมู แต่สินค้าอุตสาหรรมอาจจะลดลง ขณะเดียวกันมองว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลงอีก 1-2 ครั้งในปลายปีนี้ แนะลงทุนหุ้น Defensive   

แนะนำหุ้นสื่อสาร TRUE  ราคาเป้าหมาย 15.60 บาท ADVANC ราคาเป้าหมาย 334  บาท  หุ้นโรงไฟฟ้า GULF ราคาเป้าหมาย 57  บาท   และกองรีท 3BBIF  CPNREIT คาด Dividend Yield อยู่ที่ 9-10%

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง