รีเซต

ควันหลงหลังการลองเชิงของพญาอินทรีย์กับมังกร โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

ควันหลงหลังการลองเชิงของพญาอินทรีย์กับมังกร โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
TNN ช่อง16
8 เมษายน 2564 ( 13:58 )
125
ควันหลงหลังการลองเชิงของพญาอินทรีย์กับมังกร โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

เพลิงสงครามการเมืองและเศรษฐกิจครั้งใหม่ได้ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้งแล้ว และครั้งนี้พญาอินทรีย์อย่างสหรัฐฯ ไม่ได้ฉายเดี่ยวดังเช่นในสมัยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์แต่ลากเอาชาติพันธมิตรอย่างแคนาดา อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส และอีกหลายประเทศในยุโรป เข้ามาร่วมวงในการรุมอัดจีนด้วย


ขณะที่มังกรอย่างจีนก็ใช่ย่อย ทันเกมส์ และขับเคี่ยวกับอีกฝ่ายหนึ่งแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำให้กองเพลิงแห่งสงครามชิงมหาอำนาจได้ถูกราดน้ำมันใส่เพิ่มขึ้นเข้าไปอีก ผลจะเป็นเช่นไร ใครจะได้ ใครจะเสีย ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าติดตามยิ่ง ...




ภายหลังสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร ประกาศแซงชั่นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนและฮ่องกงเมื่อ 17มีนาคม และผู้แทนระดับสูงสายการต่างประเทศปะทะคารมกับของจีนอย่างถึงพริกถึงขิงในช่วง 18-19 มีนาคมที่มลรัฐอลาสก้าคลิปการตอบโต้ในระหว่างการประชุมดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกมาการประลองกำลังระลอกสองก็เกิดขึ้นแทบจะทันที


กองเพลิงก็ถูกขยายวงกว้างขึ้น โดยในวันจันทร์ที่ 22 มีนาคม แคนาดา อังกฤษ และประเทศอื่นในยุโรปได้ออกมาตรการที่คล้ายคลึงกัน แซงชั่นเจ้าหน้าที่ของจีนจำนวน 4 คนด้วยเหตุผลของการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง หลังจากที่ แอนโทนี่ บลิงเก้น รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ใช้ช่วงสุดสัปดาห์นั้นบินด่วนเข้ายุโรปเพื่อหารือกรอบความร่วมมือ


การประกาศแซงชั่นจีนในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของยุโรปในช่วงกว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมาแต่ยังไม่ทันข้าม จีนออกมาก็ตอบโต้อย่างทันควัน โดยประกาศแซงชั่นชาวยุโรปจำนวน 10 คน และอีก 4 องค์กรระดับภูมิภาคของยุโรป โดยให้เหตุผลว่า คนเหล่านั้นก่ออันตรายอย่างร้ายแรงต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ของจีน และมีเจตนาร้ายในการโกหกและให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับจีน


ขณะเดียวกัน ในช่วงวันที่ 22-23 มีนาคมจีนก็จัดการประชุมระดับสูงกับรัสเซีย โดย หวัง อี้ รมต. ต่างประเทศของจีนได้ต้อนรับและประชุมหารือความร่วมมือกับเซอร์เก ลาฟรอฟ รมต. ต่างประเทศของรัสเซีย ณ มณฑลกุ้ยโจวที่แต่เดิมเคยเป็นพื้นที่ที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของจีน แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นพื้นที่รับแขกบ้านแขกเมืองไปเสียแล้ว


ในฉากหน้า การประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสครบรอบ 20 ปีของการลงนามในสนธิสัญญาเชิงยุทธ์และการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี 


แต่ในฉากหลัง จีนคงประเมินสถานการณ์การประชุมกับสหรัฐฯ ที่มลรัฐอลาสก้าไว้แล้วว่า จีนจะเผชิญกับปัญหาอุปสรรคเช่นใด จึงถือว่าการกระชับความสัมพันธ์ในครั้งนี้มาถูกที่ถูกเวลาเช่นกัน


หลังการประชุม รมต. ต่างประเทศของรัสเซียได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ความยุติธรรม ความเป็นประชาธิปไตย และเสถียรภาพความมั่นคง เป็นหลักการสำคัญที่นานาประเทศควรยึดถือ” ซึ่งสอดคล้องกับหลักการขององค์การสหประชาชาติ 



“ยิ่งโลกขาดเสถียรภาพ จีนและรัสเซียยิ่งต้องยกระดับความสัมพันธ์ให้แนบแน่นยิ่งขึ้น” ทั้งในด้านภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิเศรษฐศาสตร์ และความมั่นคง ซึ่งก็เป็นการส่งสัญญาณไปยังโลก สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรว่า หากเกิดอะไรขึ้น รัสเซียจะยืนเคียงข้างจีน


มาตรการแซงชั่นที่ทั้งสองฝ่ายตอบโต้กันไปมาในครั้งนี้ มิได้จำกัดอยู่ระหว่างรัฐต่อรัฐที่พุ่งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงและองค์กรภาครัฐของแต่ละฝ่าย แต่ก็เห็นการเคลื่อนตัวจากสหรัฐฯ ไปสู่ชาติพันธมิตร และขยายต่อไปถึงภาคธุรกิจอย่างชัดเจน 

ยกตัวอย่างเช่น หัวเหว่ย ประกาศเรียกเก็บค่ารอยัลตี้ในการใช้สิทธิบัตรโครงข่ายและอุปกรณ์โทรคมนาคมจากผู้ใช้ อาทิ ไอโฟน ขณะที่รถเทสล่าก็ถูกจำกัดพื้นที่การใช้งานในจีน โดยเฉพาะในพื้นที่ความมั่นคง อาทิ พื้นที่ของกองทัพ และสถานที่ราชการอื่น สองกรณีหลังนี้อาจไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการแซงชั่นนัก แต่ก็มาถูกที่ถูกเวลาซะจริงๆ


ยังไม่ทันที่ฝุ่นจะจางหาย ในวันรุ่งขึ้น แบรนด์สินค้าแฟชั่นและกีฬาของชาติตะวันตกก็ดาหน้ากันออกมาประกาศหยุดซื้อฝ้ายซินเจียง ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม โดยให้เหตุผลเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลจีน

แบรนด์เหล่านั้นก็ได้แก่ H&M, Burberry, Esprit, Calvin Klein, Zara, Tommy Hilfiger, GAP, Adidaz, Puma,New Balance, Under Armour, Nike, Converse เป็นต้นแบรนด์หลักของญี่ปุ่นอย่าง Mujiและ Uniqloดูจะไม่แสดงจุดยืนที่ชัดเจนขณะที่บางแบรนด์ อาทิ Hugo Boss และ FILA ที่ปฏิเสธการร่วมกิจกรรมดังกล่าว



อันที่จริง H&M จากค่ายสวีเดน เคยเป็นหน่วยกล้าตาย แสดงจุดยืนในเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา แต่อาจเพราะสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 และความไม่พร้อมของนานาประเทศพันธมิตร ทำให้มาตรการแซงชั่นดังกล่าวไม่เกิดผลที่เป็นรูปธรรม 


แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังการประกาศหยุดซื้อฝ้ายซินเจียงของแบรนด์ตะวันตกดังกล่าว เอกชนจีนก็ออกมาโต้กลับอย่างทันควัน 


ข้อความที่ H&M เคยโพสต์ไว้ในอดีตกลายเป็นชนักติดหลังที่เน็ตติเซนจีนตามเข้าไปขุดคุ้ยมาตีแผ่ และแตกประเด็นกันไปมากมาย 


แพล็ตฟอร์มการค้าออนไลน์ อาทิ JD, Taobao, T-Mall, Pinduoduo, Meituan, Didiและ Baidu ซึ่งเป็นช่องทางจัดจำหน่ายและประชาสัมพันธ์ที่มีบทบาทสูงในจีนต่างก็ทยอยถอดแบรนด์ตะวันตกเหล่านั้นลง ส่งผลให้ผู้บริโภคในจีนไม่สามารถหาซื้อสินค้าออนไลน์ของยี่ห้อเหล่านี้ได้ หาทำเลที่ตั้งของร้านก็ไม่เจอ  หรือให้แท็กซี่ปักหมุดเพื่อพาไปร้านเหล่านี้ก็ไม่ได้เช่นกัน



นอกจากนี้ Huawei และ Xiaomi ยังกระโดดเข้ามาร่วมบอยคอตแบรนด์ตะวันตกเหล่านี้อีกด้วยในช่วงปลายเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา


นอกจากบทตอบโต้ของแพล็ตฟอร์มออนไลน์แล้ว คนเชียร์สินค้าที่ชาวจีนเรียกว่า KOL (Key Opinion Leader)หรือที่บ้านเราเรียกกันในนามว่า “YouTuber” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นศิลปินและดาราชาวจีน ฮ่องกง และไต้หวัน ที่มีชื่อเสียงและบางรายมีผู้ติดตามนับร้อยล้านคนในตลาดจีน ต่างบอกยกเลิกสัญญากับแบรนด์ตะวันตกดังกล่าวกันเป็นแถว


KOL บางรายยังโพสต์ข้อมูลและความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ในบล็อกของตนเองอีกด้วย ซึ่งก็ทำให้เกิดกระแสต่อต้านแบรนด์ตะวันตกในจีนอย่างเป็นรูปธรรมในทันที


ยังไม่ทันข้ามวัน ชาวจีนจำนวนมากก็ส่งต่อและแชร์ความคิดเห็นกันทั่วบ้านทั่วเมือง และแสดงปฏิกิริยาด้วยการปฏิเสธการเข้าไปซื้อหาสินค้าในร้านออฟไลน์ที่กระจายอยู่ตามห้างสรรพสินค้า ร้านเหล่านั้นไม่มีคนเข้าไปเดินจนกลายเป็นเสมือนป่าช้า 


ข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการของหอการค้าของยุโรปในจีนระบุว่า กระแสต่อต้านลุกลามไปถึงกลุ่มวัยรุ่นและคนวัยทำงานระยะแรกที่มีอายุระหว่าง 20-30 ปี เพราะนั่นอาจส่งผลเสียต่อมูลค่าแบรนด์และโอกาสทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องในตลาดจีนในระยะยาว 

ในเช้าวันรุ่งขึ้น ร้านเหล่านี้หลายแห่งไม่เปิดให้บริการ ป้ายชื่อร้านถูกปิดทับเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวมากอย่างซินเจียง แม้กระทั่งในเมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้ ก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง บางร้านเปิดให้บริการทั้งวัน แต่ไม่เปิดบิลเลยก็มี



สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ผมอดนึกถึงการถอนตัวของ Lotte Mart ห้างสรรพสินค้าชั้นนำของเกาหลีใต้ ที่ยอมปล่อยให้สหรัฐฯ ใช้พื้นที่ในการติดตั้งจรวดพิสัยกลางที่หันไปทางจีนไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การสร้างความไม่พอใจอย่างมากจากรัฐบาลจีน และกระแสการต่อต้านของผู้บริโภคชาวจีน จน Lotte Group ต้องประกาศพับฐานธุรกิจในจีนไปเมื่อราว 3 ปีก่อน

 

ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม กระทรวงต่างประเทศของจีนก็แถลงข่าวเพื่อแสดงท่าทีและจุดยืนเกือบทุกวัน อาทิ หวัง อี้ รมต. ที่เตือนสหรัฐฯ ถึงเส้นบางๆ ที่จีนยอมรับไม่ได้หากชาติตะวันตกก้าวข้าม ขณะที่ ฮั่วซินหยิง โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนก็ออกมาประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนของนานาประเทศอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน เสมือนเป็นการตอกย้ำว่า “โลกพึ่งจีนมากกว่าจีนพึ่งโลก”


นอกจากนี้ ในวันเสาร์ที่ 27 มีนาคม หวัง อี้ รมต. ต่างประเทศของจีนก็บินเข้าไปกระชับความสัมพันธ์กับอิหร่าน และได้ลงนามความตกลงเชิงยุทธศาสตร์กับ จาวาด ซารีฟ รมต. ต่างประเทศของอิหร่าน ซึ่งมีสาระสำคัญว่า จีนวางแผนจะลงทุนในวงเงิน400,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในหลากหลายสาขาในอิหร่าน อาทิ การเงินการธนาคาร โทรคมนาคม ท่าเรือ รถไฟ การพยาบาล และไอที ในช่วง 25 ปีข้างหน้า เพื่อแลกกับการได้รับจัดสรรน้ำมันดิบในราคาพิเศษจากอิหร่าน 


นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังจะยกระดับความร่วมมือเชิงลึกในด้านการทหาร ซึ่งครอบคลุมถึงการฝึกและซ้อมรบ การวิจัยและการพัฒนาด้านอาวุธ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง 


ภายหลังการลงนามความตกลงฯ ดังกล่าว รมต. ต่างประเทศของอิหร่านได้พูดถ้อยคำหนึ่งที่ลึกซึ้งกินใจว่า “จีนเป็นเพื่อนในยามยาก” ของอิหร่าน ซึ่งเป็นเสมือนการส่งสาส์นที่บ่งบอกถึงความแนบแน่นระหว่างจีนและอิหร่านตรงไปถึงสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรไปพร้อมกัน


ขณะเดียวกัน การเดินสายของ รมต. ต่างประเทศของจีนก็สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความมั่นคงและสันติสุขในภูมิภาคตะวันออกกลาง เพราะก่อนหน้านี้ หวัง อี้ ก็พึ่งไปเยือนซาอุดิอาระเบีย และตุรกี และยังเตรียมเดินทางต่อไปกระชับความสัมพันธ์กับยูเออี บาห์เรน และโอมาน


นอกจากนี้ จีนยังแสดงความพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพการเจรจาเพื่อแก้ไขกรณีพิพาทระหว่างอิสราเอลกับชาวปาเลสไตน์ ซึ่งเสมือนการบอกชาวโลกว่าสหรัฐฯ เป็นปัญหาอุปสรรคต่อสันติสุขและการพัฒนาในภูมิภาค


ในช่วงปลายเดือนมีนาคม แบรนด์จีนจำนวนมากก็ออกมาจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายไลฟ์สตรีมกัน เหว่ยหยา (Wei Ya)ก็เอาผลิตภัณฑ์ที่ใช้ฝ้ายซินเจียงเป็นวัตถุดิบออกมาจำหน่าย ซึ่งได้กระแสตอบรับอย่างอบอุ่น เพราะเพียงหนึ่งชั่วโมงก็สามารถทำยอดขายได้กว่า 10 ล้านหยวน


อนึ่ง หากเราพิจารณาให้ดีก็อาจพบว่า การขุดบ่อล่อปลาของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่สร้างภาพให้จีนกลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ และกระแส “การแยกขั้ว” ผ่านTrade War และ Tech War นอกจากจะทำให้ทรัมป์ สามารถปลุกกระแสความคลั่งชาติและสร้างเป็นฐานคะแนนเสียงทางการเมืองแก่ตนเองแล้ว ยังทำให้สหรัฐฯ ภายใต้การนำของโจไบเดน เดินตามเหยื่อที่ล่อเอาไว้ด้วยการใช้ยุทธการกำปั้นเหล็กกับจีน เพื่อหวังดึงฐานคะแนนเสียงคนกลุ่มนี้มาเป็นของพรรคเดโมแครตบ้าง



เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนถึงความสำเร็จในการผลักดันให้ “Trump War” ยังคงดำรงอยู่โดยที่ทรัมป์ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งควันหลงจากการประชุมระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และการแซงชั่นทางการเมืองและเศรษฐกิจกันไปมาดังกล่าวนับเป็นตัวอย่างที่ดี


ประการสำคัญ ยังทำให้กระแสการเหยียดสีผิวในสหรัฐฯ กลับมาประทุอย่างรุนแรงอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ เหยื่อเปลี่ยนจากสีผิวอื่นเป็นคนผิวเหลือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง หรือตัวเล็กกว่าผู้ทำร้าย


ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา คนผิวเหลืองถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน และถูกปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมในหลายเมืองใหญ่ของสหรัฐฯโดยเฉพาะนิวยอร์ก และแอลเอ 


แหล่งชุมชนทั่วไปในเมืองกลายเป็นจุดที่คนผิวขาวและผิวดำด่าทอและทำร้ายร่างกายคนเชื้อสายเอเชียกันทั่วไปหมด บางรายทำร้ายกันอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนจนถึงขนาดเสียชีวิตเลยก็มี ผู้ประสบภัยหลายรายเป็นผู้หญิงและคนสูงอายุ


ทางเท้าริมถนน กลายเป็นสถานที่ระบายอารมณ์ของคนอเมริกันต่อคนผิวเหลือง ขณะเดียวกัน รปภ. ในพื้นที่ใกล้เคียงเลือกที่จะปิดประตูหมู่บ้านและทำตัวเสมือนหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น แทนที่จะรีบเข้าห้ามปราม หรือช่วยเหลือผู้ประสบภัย 


ในรถไฟใต้ดินในนิวยอร์ก ก็มีชายผิวขาวควักอวัยวะเพศออกมาฉี่ใส่ผู้หญิงเอเชียที่พยายามขยับหนี เหตุการณ์เหล่านี้ไม่มีใครเข้าห้ามปรามหรือให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยและมีเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นอีกมากในช่วงที่ผ่านมา

ประการสำคัญ ตำรวจในเมืองเหล่านั้นให้ข้อมูลว่า ไม่ได้รับแจ้งเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายหรือเหตุการณ์คล้ายคลึงในวันดังกล่าวแต่ประการใด


อะไรจะเกิดขึ้นหากคนผิวเหลืองรุมทำร้ายร่างกาย ทำลายทรัพย์สิน หรือละเมิดสิทธิ์ของคนชาติตะวันตกในเอเซียเป็นการแก้แค้นขึ้นมาบ้าง กระแส “การแยกขั้ว” อาจขยายวงกว้างขึ้น หรือเท่ากับว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ประสบความสำเร็จในการสานต่อ “Trump War” ได้โดยที่ตนเองไม่ต้องดำเนินการใดๆ


สุภาษิตโบราณของจีนกล่าวไว้ว่า “ความสัมพันธ์ที่ดีของสองประเทศอยู่บนรากฐานของประชาชนของทั้งสอง” หากความสัมพันธ์ฝังรากลึกลงไปถึงความรู้สึกของภาคประชาชนแล้วล่ะก็ พญาอินทรีย์และมังกรอาจต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะกลับมาญาติดีกันดังเดิม


กระแสดังกล่าวอาจยาวนานมากพอที่ ทรัมป์ จะกลับมาท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งในรอบหน้า...


ข่าวที่เกี่ยวข้อง