สรุปเนื้อหาที่น่าสนใจจากงาน J-MAT สู่เส้นทางการตลาดสัญจร สำหรับนักศึกษา งานสัมมนาการตลาดในรูปแบบออนไลน์ครั้งยิ่งใหญ่
ก็จบไปแล้วสำหรับงาน Thailand Marketing Webinar 2023 งานสัมมนาการตลาดในรูปแบบออนไลน์ครั้งยิ่งใหญ่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Marketing Big Change เปลี่ยน และ ปรับ รับความสำเร็จ” โดยสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย [MAT] และ ชมรมยุวสมาชิกของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย [J-MAT] ผนึกกำลังกับภาคีการศึกษาทั่วประเทศ ในวันที่ 4-5 สิงหาคม ที่ผ่านมาในรูปแบบออนไลน์และออนไซต์ แบไต๋ขอสรุปเนื้อหาที่น่าสนใจให้ดังต่อไปนี้
Unlocking Skill for the New Gen Marketer : ปลดล็อกสกิลสำหรับนักการตลาด Gen Z
คุณสุรศักดิ์ เหลืองอุษากุล
- ตัวอักษร 5 ตัวนี้ จะเป็นตัวปลดล็อคสกิลสำหรับนักการตลาดยุคใหม่ต่อจากนี้ : A-B-C-D-E
- A = AI CO-Pilot – AI จะมาเป็นตัวช่วยในการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ แน่นอนว่าในประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทำให้เกิดการแทนที่งานแบบเก่ามากมาย แต่ก็ต้องไม่ลืมด้วยว่าในอีดด้านนึงเทคโนโลยีก็เป็นทั้งผู้สร้างงานด้วยเช่นกัน
- AI เป็นเพียงแค่เครื่องมือที่พร้อมจะช่วยให้เรา ง่ายขึ้น (Easier), ถูกลง (Cheaper), และเซ็กซี่ขึ้น (Sexier) แต่เนื่องจากมันเป็นแค่เครื่องมือ มันจึงยังต้องการคนมาช่วย Craft ให้มันน่าสนใจยิ่งขึ้น
- ขณะนี้มี Human Quality อยู่ 3 สิ่ง ที่ AI ยังแทนที่ไม่ได้ คือ Common Sense, Creativity, Community (การสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์)
- B = Beyond your interest – อย่ารู้แค่สิ่งที่ตัวเองชอบหรือเคยเห็น แต่จงหาสิ่งใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยรู้จักมาลอง ดังนั้น“ถ้าอยากเป็นนักการตลาดที่ดี จงรู้มากกว่าที่ตัวเองชอบ”
- C = Customer First – ลูกค้าเราสำคัญที่สุด การเข้าใจลูกค้าเชิงลึกจึงโคตรสำคัญ เราจะตอบโจทย์เขายังไง จะเอา Interest อะไรของเขามาเล่น
- D = Data Driven – การเรียนรู้ Data จะทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมของคนไทยมากสิ่งขึ้น
- E = Evolving with Changes – พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไปพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนแปลง
- นักการตลาดยุคใหม่ จงเป็น AI Co-Pilot ที่สนใจมากกว่าแค่เรื่องของตัวเอง ให้ความสำคัญกับความเข้าใจของลูกค้า ด้วย Data Driven และโอบรับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นได้
Leading a Right Path to Be The Successful Marketer: เส้นทางสู่ความสำเร็จและความก้าวหน้าในเส้นทางนักการตลาดรุ่นใหม่
คุณจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม
- ทำไมถึงเลือกทำงานสาย Marketing ? – เพราะ Marketing คือ ภาษาของมนุษย์ ถ้าเราอยากจะให้เขาใช้สินค้าของเรา เราก็ต้องทำความเข้าใจเขาก่อน ว่าอะไรคือเหตุผลหรือความจำเป็นที่เขาต้องใช้สินค้าเรา ถ้าเราหาตรงนั้นเจอแล้วสื่อสารออกไปให้ตรงจุด ลูกค้าก็พร้อมจะตอบสนองเราด้วยการซื้อสินค้า และอีกเหตุผลหนึ่ง งาน Marketing คือ งานที่ทำแล้ววัดผลได้ ว่าอันไหนทำแล้วมันประสบความสำเร็จ
- นักการตลาดที่ดีควรมีคุณสมบัติสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่ 1) อิน/ชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ จะได้ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือฝืนในการทำงาน 2) เกาะติดความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อยู่เสมอ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้ในยุคที่เทรนต่าง ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 3) ยืดหยุ่น ล้มแล้วลุกได้ไว (Resilience)
- นักการตลาด ต้องหมั่นติดตามอัพเดทเทรนใหญ่ ๆ 3 ส่วนด้วยกัน 1) Mega Trend – อัพเดท mega trend จากที่ต่าง ๆ เช่น the economic เมื่อหลายปีก่อน เคยเสนอเรื่อง Aging society, Environment แล้วพยายามคิดว่าทำยังไงให้มันกลับมาที่ product ที่เราดูแลอยู่ (Grab) เช่น เอาคนแก่มาขับแกร็บ, ให้เลือกไม่รับช้อน ซ้อม พลาสติก, ให้บริจาค 1 บาท เพื่อเอาไปปลูกต้นไม้ 2) Industry Trend – ถ้ารับผิดชอบต่อสินค้าอะไร ก็ต้อง Keep up กับเทรนในอุตสาหกรรมนั้น ๆ เช่น ถ้าเป็น แป้ง อาจจะต้อง organic ไหม, ตอนนี้คนออกมาใช้ชีวิตข้างนอกแล้ว grab มีฟีจเจอร์อะไรที่ตอบโจทย์ลูกค้าเราหรือป่าว 3) Social Trend เช่น ช่วงนั้นใครดัง ก็เอามาร่วมแคมเปญกัน
- ในการทำงานที่หนักหนาเกินไป อาจทำให้เกิดการเบิร์นเอาท์ได้ ต้องพยายามรักษา work&life balance ให้ดี ๆ พยายามนอนให้เพียงพอ พยายาม Focus กับปัญหาที่แก้ไขได้ ให้มากกว่าปัญหาที่แก้ไขไม่ได้
- ความสำเร็จในฐานะนักการตลาดไม่ได้วัดเฉพาะในเชิงปริมาณ คือ ยอดขายแค่อย่างเดียว แต่ยังวัดจากเชิงคุณภาพอีกด้วย เช่น เราได้ทำงานที่ดีและมีคนชอบบ้างหรือไม่
- พูดให้ถึงที่สุดแล้ว นักการตลาด คือ combination ระหว่าง Science & Art ถ้าเรารู้จักใช้ AI ให้งานมันดีขึ้นเราจะก้าวไปได้ไกลกว่า เราสามารถให้ AI ช่วยประมวลว่าเทรนด์มันเป็นยังไง แต่การ Execute หรือทำแคมเปญออกมาให้ลูกค้าชอบมันยังต้องใช้ Art อยู่ว่า เราจะทำให้คนรู้สึกว่าแคมเปญนี้มันปังยังไง หรือเราสามารถใส่ข้อมูลให้ AI ประมวลตัวเลือกแล้วเราก็สามารถเอาตัวเลือกเหล่านั้นไปทดสอบว่าอันไหนมันเวิร์ค ถ้าเรารู้จักใช้แล้วมันก็จะดีกว่า แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่คิดว่า AI จะมาแทนที่เราเลยได้
Effective Platform to Engage Customer Royalty : แพลตฟอร์มควรรู้เพื่อสร้าง Royalty
คุณธัญญ์นิธิ อภิชัยโชติรัตน์
- สิ่งสำคัญของการสร้าง Brand Royalty คือ การสร้าง WoW Factor ให้กับลูกค้า
- จะสร้าง WoW Factor ให้กับลูกค้าได้ จำเป็นต้องเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง
- จะเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งได้นั้น ต้องเข้าใจธรรมชาติของ Platform ก่อน ว่าสนับสนุน Trend แบบไหน
- ปี 2023 เป็นปีแห่ง Short VDO ที่สื่อสารด้วย VDO แนวตั้ง สั้น ๆ ง่าย ๆ เข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว ทุก Platform เน้นแนวทางนี้มากขึ้นอย่างชัดเจน Ex TikTok 38M, FB 70M -> Reel, IG 18M -> Reel, YouTube 42M -> Short, Line 54M -> Voom
- เคล็ดลับในการทำ Shot VDO อย่างมีประสิทธิภาพประกอบไปด้วย 4 ข้อ ได้แก่ 1) Real 2) Authentic 3) Dynamic 4) 15/60s
- Real (เป็นธรรมชาติ เข้าถึงง่าย ไม่เป็นทางการ) – การทำ VDO ในยุคสมัยนี้ ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบเสมอไป คนตัดสินใจดูเพราะตัว Content > คุณภาพของ Production
- Authentic (เป็นตัวเอง และ สร้างเอกลักษณ์) – ทุกครั้งที่บันทึกออกมาควรต้องสร้างเอกลักษณ์ให้คนจดจำได้ด้วย Ex. สร้างผ่านการแต่งกาย เพราะในมหาสมุทราแห่งคอนเทนต์ ถ้าไม่โดดเด่น คนก็จะจดจำไม่ได้ และถูกลืมในที่สุด
- Dynamic (กระชับ ฉับไว เข้าประเด็นตั้งแต่ 3-5 วินาทีแรก) – คลิปจะแป๊กหรือจะปังอยู่ที่ข้อนี้ รวมไปถึงการออกท่าทางและน้ำเสียงด้วย ซึ่งจะช่วยสร้างความน่าสนใจให้ VDO ของคุณเป็นอย่างมาก
- 15/60s ในกรณีที่จะเอาไปยิงแอด ความยาวไม่เกิน 15 วินาทีเท่านั้น ถ้าเกินกว่านั้น ระบบของ FB จะไม่ส่งให้คนเห็น กรณีที่ทำคลิปแบบ Organic ควรทำคลิปไม่เกิน 60 วินาที (1 นาที) เพราะเป็นเวลาตามค่าเฉลี่ยที่คนดูจบ และแนะนำว่าควรตัดต่อผ่านแอพ Third Party อย่าตัดต่อผ่าน TikTok เพื่อป้องกันอัลกอริทึมลดการมองเห็น เวลาเอาไปเผยแพร่ข้าม Platform
- Comment ของคนดู คือ การสร้าง Engagement ที่ช่วยให้อัลกอริทึมเปิดการมองเห็นให้คอนเทนต์มากที่สุด ดังนั้น จึงควรสร้างสรรค์คอนเทนต์ให้คนมา Comment ตอบโต้กันเยอะ ๆ เพื่อให้ Content ถูกเปิดการมองเห็นมากขึ้น
The Power of Generating good content marketing : ลงคอนเทนต์อย่างไรให้ได้ใจลูกค้า
Tokko – Nathida Ratthanawut
- Content is the best long term marketing strategy เพราะว่าทุกวันนี้ ผู้คนใช้เวลาส่วนมากของตัวเองไปกับการเสพคอนเทนต์บนโลกออนไลน์ การทำ Content Marketing จึงเป็นการเข้าใกล้ลูกค้าของเรามากขึ้น และถ้าเราทำได้ดีมากพอ เราจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลูกค้า โดยที่ลูกค้าเองก็ไม่รู้ตัว
- Content Marketing มีผลต่อแบรนด์มากมาย ตั้งแต่ สร้าง Brand Awareness, สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับแบรนด์และสินค้า (Trust), ช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการของแบรนด์, สร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ ทำให้ให้กลายเป็น Brand Love และ Top of Mind ในใจของลูกค้าได้, ดึงดูดลูกค้าในอุดมคติของแบรนด์ให้เข้ามาหาและแปลงให้เขากลายเป็น Royalty Costumer, และเหนือสิ่งอื่นใด ในวันนี้ Content Marketing ยังทรงพลังมหาศาลในการสร้งยอดขายให้เกิดขึ้นจริงกับแบรนด์อีกด้วย
- ด้วยเหตุนี้ Content ที่ดี จึงไม่ใช้ Content ที่มีกราฟฟิคสวยงามอลังการ แต่เป็น Content ที่ตอบโจทย์วัตถุประสงค์ของแบรนด์ได้ โดยสามารถแบ่งคอนเทนต์ออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ 1) คอนเทนต์สำหรับ Engage เช่น Story, Reel, Live ,ฯลฯ 2) คอนเทนต์สำหรับ Watch/See เช่น TikTok, Facebook Post, YouTube 3) คอนเทนต์สำหรับ Hear เช่น Podcast, Radio, Clubhouse
- การเข้าใจกลุ่มลูกค้าก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการทำคอนเทนต์ เราอาจแบ่งประเภทของลูกค้าออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) The Curious Consumer 2) The Demanding Consumer 3) The Impatient Consumer
- The Curious Consume คือ กลุ่มลูกค้าที่บ้าข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ก่อนจะซื้ออะไรต้องเช็ตแล้วเช็คอีก ดังนั้น การทำคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์กลุ่มนี้ได้ จะต้องเป็น Content ที่ให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจอย่างละเอียดและครบถ้วน เพื่อให้คนกลุ่มนี้สามารถหาคำตอบที่เขาอยากรู้ให้ได้มากที่สุด
- The Demanding Consumer เป็นกลุ่มที่มีความต้องการชัดเจน และคาดหวังว่าแบรนด์หรือผู้ขาย จะเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการ จึงต้องการ Content แบบเฉพาะเจาะจง
- The Impatient Consumer เป็นกลุ่มคนที่ตัดสินใจเร็ว คอนเทนต์ที่ต้องการจึงต้องตรงประเด็นในสิ่งทีอยากรู้ เช่น สรุปประเด็นสำคัญ ให้คำตอบได้อย่างรวดเร็ว
- การรู้พฤติกรรมของลูกค้าสำคัญมาก ๆ จะได้รู้ว่าควรต้องทำ Content แบบไหน ไปตอบโจทย์เขา เขาเป็นลูกค้าแบบไหน, เขาอยู่บน Online เพื่ออะไร, เขาอยู่บน Online ผ่านอุปกรณ์ไหน, เขาชอบดู Online Content แบบไหน, เขาอยู่ใน Platform ไหน, Key Driver Purchase ของเขาอยู่ตรงไหน
- นอกจากเรื่องพฤติกรรมของลูกค้าแล้ว ช่วงเวลาต่าง ๆ ในการเสพคอนเทนต์ของลูกค้าก็สำคัญมาก ในการวางแผนสร้างคอนเทนต์ เราเรียกว่า “Mobile Consumption” ซึ่งแบ่งเป็น 70-20-10
- 70 : On the go ดูแวบๆ เวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ Content ต้องสั้นๆ ถ้ายาวเกินไป เขาจะเสพไม่จบ เดี่ยวนี้คนมีความเร่งรีบมากขึ้น เลยทำให้คอนเทนต์สั้นได้รับความนิยมมากขึ้น เช่น TikTok, Reel // 20 : Lean Forward พวกชอบดู ถ้าคอนเทนต์น่าสนใจพอ พวกเขาจะสามารถดูจบได้ เพราะชอบดูเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว // 10 : Lean Back เป็นพวกที่ชอบกลับไปดูอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย แต่จะมีความ Royalty กับ Content สูงกว่าประเภทอื่น ๆ
- การรู้จัก Moment ของคนดูก็สำคัญ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 Moment : 1) I want to do 2) I want to go 3) I want to know 4) I want to buy หากเราเข้าใจทั้ง 4 Moment นี้ ก็จะทำให้เราสามารถออกแบบคอนเทนต์ได้ว่า ต้องการจะสื่อสารกับคนดูที่อยู่ใน Moment ไหนเป็นสำคัญ
- สุดท้าย เรายังต้องทำความเข้าใจกับ SEO เพื่อให้ Content ของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภายในแต่ละ Platform อีกด้วย
และสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนไว้หากเขาชมไม่ทันหัวข้อไหนสามารถรับชมย้อนหลังได้ โดยทางสมาคมการตลาดจะทำการส่งลิงก์เข้ารับชมวีดิโอย้อนหลังได้ ที่นี่