รีเซต

สรุปเนื้อหาที่น่าสนใจจากงาน J-MAT สู่เส้นทางการตลาดสัญจร สำหรับนักศึกษา งานสัมมนาการตลาดในรูปแบบออนไลน์ครั้งยิ่งใหญ่

สรุปเนื้อหาที่น่าสนใจจากงาน J-MAT สู่เส้นทางการตลาดสัญจร สำหรับนักศึกษา งานสัมมนาการตลาดในรูปแบบออนไลน์ครั้งยิ่งใหญ่
แบไต๋
23 สิงหาคม 2566 ( 17:56 )
121

ก็จบไปแล้วสำหรับงาน Thailand Marketing Webinar 2023 งานสัมมนาการตลาดในรูปแบบออนไลน์ครั้งยิ่งใหญ่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Marketing Big Change เปลี่ยน และ ปรับ รับความสำเร็จ” โดยสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย [MAT] และ ชมรมยุวสมาชิกของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย [J-MAT] ผนึกกำลังกับภาคีการศึกษาทั่วประเทศ ในวันที่ 4-5 สิงหาคม ที่ผ่านมาในรูปแบบออนไลน์และออนไซต์ แบไต๋ขอสรุปเนื้อหาที่น่าสนใจให้ดังต่อไปนี้

Unlocking Skill for the New Gen Marketer : ปลดล็อกสกิลสำหรับนักการตลาด Gen Z

คุณสุรศักดิ์ เหลืองอุษากุล

  1. ตัวอักษร 5 ตัวนี้ จะเป็นตัวปลดล็อคสกิลสำหรับนักการตลาดยุคใหม่ต่อจากนี้ : A-B-C-D-E
  2. A = AI CO-Pilot – AI จะมาเป็นตัวช่วยในการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ แน่นอนว่าในประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทำให้เกิดการแทนที่งานแบบเก่ามากมาย แต่ก็ต้องไม่ลืมด้วยว่าในอีดด้านนึงเทคโนโลยีก็เป็นทั้งผู้สร้างงานด้วยเช่นกัน
  3. AI เป็นเพียงแค่เครื่องมือที่พร้อมจะช่วยให้เรา ง่ายขึ้น (Easier), ถูกลง (Cheaper), และเซ็กซี่ขึ้น (Sexier) แต่เนื่องจากมันเป็นแค่เครื่องมือ มันจึงยังต้องการคนมาช่วย Craft ให้มันน่าสนใจยิ่งขึ้น
  4. ขณะนี้มี Human Quality อยู่ 3 สิ่ง ที่ AI ยังแทนที่ไม่ได้ คือ Common Sense, Creativity, Community (การสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์)
  5. B = Beyond your interest – อย่ารู้แค่สิ่งที่ตัวเองชอบหรือเคยเห็น แต่จงหาสิ่งใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยรู้จักมาลอง  ดังนั้น“ถ้าอยากเป็นนักการตลาดที่ดี จงรู้มากกว่าที่ตัวเองชอบ”
  6. C = Customer First – ลูกค้าเราสำคัญที่สุด การเข้าใจลูกค้าเชิงลึกจึงโคตรสำคัญ เราจะตอบโจทย์เขายังไง จะเอา Interest อะไรของเขามาเล่น
  7. D = Data Driven –  การเรียนรู้ Data จะทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมของคนไทยมากสิ่งขึ้น
  8. E = Evolving with Changes – พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไปพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนแปลง
  9. นักการตลาดยุคใหม่ จงเป็น AI Co-Pilot ที่สนใจมากกว่าแค่เรื่องของตัวเอง ให้ความสำคัญกับความเข้าใจของลูกค้า ด้วย Data Driven และโอบรับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นได้ 

Leading a Right Path to Be The Successful Marketer: เส้นทางสู่ความสำเร็จและความก้าวหน้าในเส้นทางนักการตลาดรุ่นใหม่

คุณจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม

  1. ทำไมถึงเลือกทำงานสาย Marketing ? – เพราะ Marketing คือ ภาษาของมนุษย์ ถ้าเราอยากจะให้เขาใช้สินค้าของเรา เราก็ต้องทำความเข้าใจเขาก่อน ว่าอะไรคือเหตุผลหรือความจำเป็นที่เขาต้องใช้สินค้าเรา ถ้าเราหาตรงนั้นเจอแล้วสื่อสารออกไปให้ตรงจุด ลูกค้าก็พร้อมจะตอบสนองเราด้วยการซื้อสินค้า และอีกเหตุผลหนึ่ง งาน Marketing คือ งานที่ทำแล้ววัดผลได้ ว่าอันไหนทำแล้วมันประสบความสำเร็จ 
  2. นักการตลาดที่ดีควรมีคุณสมบัติสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่ 1) อิน/ชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ จะได้ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือฝืนในการทำงาน 2) เกาะติดความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อยู่เสมอ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้ในยุคที่เทรนต่าง ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 3) ยืดหยุ่น ล้มแล้วลุกได้ไว (Resilience)
  3. นักการตลาด ต้องหมั่นติดตามอัพเดทเทรนใหญ่ ๆ 3 ส่วนด้วยกัน 1) Mega Trend – อัพเดท mega trend จากที่ต่าง ๆ เช่น the economic เมื่อหลายปีก่อน เคยเสนอเรื่อง Aging society, Environment แล้วพยายามคิดว่าทำยังไงให้มันกลับมาที่ product ที่เราดูแลอยู่ (Grab) เช่น เอาคนแก่มาขับแกร็บ, ให้เลือกไม่รับช้อน ซ้อม พลาสติก, ให้บริจาค 1 บาท เพื่อเอาไปปลูกต้นไม้ 2) Industry Trend – ถ้ารับผิดชอบต่อสินค้าอะไร ก็ต้อง Keep up กับเทรนในอุตสาหกรรมนั้น ๆ เช่น ถ้าเป็น แป้ง อาจจะต้อง organic ไหม, ตอนนี้คนออกมาใช้ชีวิตข้างนอกแล้ว grab มีฟีจเจอร์อะไรที่ตอบโจทย์ลูกค้าเราหรือป่าว 3) Social Trend เช่น ช่วงนั้นใครดัง ก็เอามาร่วมแคมเปญกัน 
  4. ในการทำงานที่หนักหนาเกินไป อาจทำให้เกิดการเบิร์นเอาท์ได้ ต้องพยายามรักษา work&life balance ให้ดี ๆ พยายามนอนให้เพียงพอ พยายาม Focus กับปัญหาที่แก้ไขได้ ให้มากกว่าปัญหาที่แก้ไขไม่ได้
  5. ความสำเร็จในฐานะนักการตลาดไม่ได้วัดเฉพาะในเชิงปริมาณ คือ ยอดขายแค่อย่างเดียว แต่ยังวัดจากเชิงคุณภาพอีกด้วย เช่น เราได้ทำงานที่ดีและมีคนชอบบ้างหรือไม่ 
  6. พูดให้ถึงที่สุดแล้ว นักการตลาด คือ combination ระหว่าง Science & Art ถ้าเรารู้จักใช้ AI ให้งานมันดีขึ้นเราจะก้าวไปได้ไกลกว่า เราสามารถให้ AI ช่วยประมวลว่าเทรนด์มันเป็นยังไง แต่การ Execute หรือทำแคมเปญออกมาให้ลูกค้าชอบมันยังต้องใช้ Art อยู่ว่า เราจะทำให้คนรู้สึกว่าแคมเปญนี้มันปังยังไง หรือเราสามารถใส่ข้อมูลให้ AI ประมวลตัวเลือกแล้วเราก็สามารถเอาตัวเลือกเหล่านั้นไปทดสอบว่าอันไหนมันเวิร์ค ถ้าเรารู้จักใช้แล้วมันก็จะดีกว่า แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่คิดว่า AI จะมาแทนที่เราเลยได้

Effective Platform to Engage Customer Royalty : แพลตฟอร์มควรรู้เพื่อสร้าง Royalty

คุณธัญญ์นิธิ อภิชัยโชติรัตน์

  1. สิ่งสำคัญของการสร้าง Brand Royalty คือ การสร้าง WoW Factor ให้กับลูกค้า
  2. จะสร้าง WoW Factor ให้กับลูกค้าได้ จำเป็นต้องเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง 
  3. จะเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งได้นั้น ต้องเข้าใจธรรมชาติของ Platform ก่อน ว่าสนับสนุน Trend แบบไหน 
  4. ปี 2023 เป็นปีแห่ง Short VDO ที่สื่อสารด้วย VDO แนวตั้ง สั้น ๆ ง่าย ๆ เข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว ทุก Platform เน้นแนวทางนี้มากขึ้นอย่างชัดเจน Ex TikTok 38M, FB 70M -> Reel, IG 18M -> Reel, YouTube 42M -> Short, Line 54M -> Voom
  5. เคล็ดลับในการทำ Shot VDO อย่างมีประสิทธิภาพประกอบไปด้วย 4 ข้อ ได้แก่ 1) Real 2) Authentic 3) Dynamic 4) 15/60s
  6. Real (เป็นธรรมชาติ เข้าถึงง่าย ไม่เป็นทางการ) – การทำ VDO ในยุคสมัยนี้ ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบเสมอไป คนตัดสินใจดูเพราะตัว Content > คุณภาพของ Production  
  7. Authentic (เป็นตัวเอง และ สร้างเอกลักษณ์) – ทุกครั้งที่บันทึกออกมาควรต้องสร้างเอกลักษณ์ให้คนจดจำได้ด้วย Ex. สร้างผ่านการแต่งกาย เพราะในมหาสมุทราแห่งคอนเทนต์ ถ้าไม่โดดเด่น คนก็จะจดจำไม่ได้ และถูกลืมในที่สุด
  8. Dynamic (กระชับ ฉับไว เข้าประเด็นตั้งแต่ 3-5 วินาทีแรก) – คลิปจะแป๊กหรือจะปังอยู่ที่ข้อนี้ รวมไปถึงการออกท่าทางและน้ำเสียงด้วย ซึ่งจะช่วยสร้างความน่าสนใจให้ VDO ของคุณเป็นอย่างมาก
  9. 15/60s ในกรณีที่จะเอาไปยิงแอด ความยาวไม่เกิน 15 วินาทีเท่านั้น ถ้าเกินกว่านั้น ระบบของ FB จะไม่ส่งให้คนเห็น กรณีที่ทำคลิปแบบ Organic ควรทำคลิปไม่เกิน 60 วินาที (1 นาที) เพราะเป็นเวลาตามค่าเฉลี่ยที่คนดูจบ และแนะนำว่าควรตัดต่อผ่านแอพ Third Party อย่าตัดต่อผ่าน TikTok เพื่อป้องกันอัลกอริทึมลดการมองเห็น เวลาเอาไปเผยแพร่ข้าม Platform
  10. Comment ของคนดู คือ การสร้าง Engagement ที่ช่วยให้อัลกอริทึมเปิดการมองเห็นให้คอนเทนต์มากที่สุด ดังนั้น จึงควรสร้างสรรค์คอนเทนต์ให้คนมา Comment ตอบโต้กันเยอะ ๆ เพื่อให้ Content ถูกเปิดการมองเห็นมากขึ้น

The Power of Generating good content marketing : ลงคอนเทนต์อย่างไรให้ได้ใจลูกค้า

Tokko – Nathida Ratthanawut

  1. Content is the best long term marketing strategy เพราะว่าทุกวันนี้ ผู้คนใช้เวลาส่วนมากของตัวเองไปกับการเสพคอนเทนต์บนโลกออนไลน์ การทำ Content Marketing จึงเป็นการเข้าใกล้ลูกค้าของเรามากขึ้น และถ้าเราทำได้ดีมากพอ เราจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลูกค้า โดยที่ลูกค้าเองก็ไม่รู้ตัว 
  2. Content Marketing มีผลต่อแบรนด์มากมาย ตั้งแต่ สร้าง Brand Awareness, สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับแบรนด์และสินค้า (Trust), ช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการของแบรนด์, สร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ ทำให้ให้กลายเป็น Brand Love และ Top of Mind ในใจของลูกค้าได้, ดึงดูดลูกค้าในอุดมคติของแบรนด์ให้เข้ามาหาและแปลงให้เขากลายเป็น Royalty Costumer, และเหนือสิ่งอื่นใด ในวันนี้ Content Marketing ยังทรงพลังมหาศาลในการสร้งยอดขายให้เกิดขึ้นจริงกับแบรนด์อีกด้วย
  3. ด้วยเหตุนี้ Content ที่ดี จึงไม่ใช้ Content ที่มีกราฟฟิคสวยงามอลังการ แต่เป็น Content ที่ตอบโจทย์วัตถุประสงค์ของแบรนด์ได้ โดยสามารถแบ่งคอนเทนต์ออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ 1) คอนเทนต์สำหรับ Engage เช่น Story, Reel, Live ,ฯลฯ 2) คอนเทนต์สำหรับ Watch/See เช่น TikTok, Facebook Post, YouTube 3) คอนเทนต์สำหรับ Hear เช่น Podcast, Radio, Clubhouse 
  4. การเข้าใจกลุ่มลูกค้าก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการทำคอนเทนต์ เราอาจแบ่งประเภทของลูกค้าออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) The Curious Consumer 2) The Demanding Consumer 3) The Impatient Consumer
  5. The Curious Consume คือ กลุ่มลูกค้าที่บ้าข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ก่อนจะซื้ออะไรต้องเช็ตแล้วเช็คอีก ดังนั้น การทำคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์กลุ่มนี้ได้ จะต้องเป็น Content ที่ให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจอย่างละเอียดและครบถ้วน เพื่อให้คนกลุ่มนี้สามารถหาคำตอบที่เขาอยากรู้ให้ได้มากที่สุด
  6. The Demanding Consumer เป็นกลุ่มที่มีความต้องการชัดเจน และคาดหวังว่าแบรนด์หรือผู้ขาย จะเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการ จึงต้องการ Content แบบเฉพาะเจาะจง
  7. The Impatient Consumer เป็นกลุ่มคนที่ตัดสินใจเร็ว คอนเทนต์ที่ต้องการจึงต้องตรงประเด็นในสิ่งทีอยากรู้ เช่น สรุปประเด็นสำคัญ ให้คำตอบได้อย่างรวดเร็ว
  8. การรู้พฤติกรรมของลูกค้าสำคัญมาก ๆ จะได้รู้ว่าควรต้องทำ Content แบบไหน ไปตอบโจทย์เขา เขาเป็นลูกค้าแบบไหน, เขาอยู่บน Online เพื่ออะไร, เขาอยู่บน Online ผ่านอุปกรณ์ไหน, เขาชอบดู Online Content แบบไหน, เขาอยู่ใน Platform ไหน, Key Driver Purchase ของเขาอยู่ตรงไหน 
  9. นอกจากเรื่องพฤติกรรมของลูกค้าแล้ว ช่วงเวลาต่าง ๆ ในการเสพคอนเทนต์ของลูกค้าก็สำคัญมาก ในการวางแผนสร้างคอนเทนต์ เราเรียกว่า “Mobile Consumption” ซึ่งแบ่งเป็น 70-20-10 
  10. 70 : On the go ดูแวบๆ เวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ Content ต้องสั้นๆ ถ้ายาวเกินไป เขาจะเสพไม่จบ เดี่ยวนี้คนมีความเร่งรีบมากขึ้น เลยทำให้คอนเทนต์สั้นได้รับความนิยมมากขึ้น เช่น TikTok, Reel // 20 : Lean Forward พวกชอบดู ถ้าคอนเทนต์น่าสนใจพอ พวกเขาจะสามารถดูจบได้ เพราะชอบดูเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว // 10 : Lean Back เป็นพวกที่ชอบกลับไปดูอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย แต่จะมีความ Royalty กับ Content สูงกว่าประเภทอื่น ๆ
  11. การรู้จัก Moment ของคนดูก็สำคัญ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 Moment : 1) I want to do 2) I want to go 3) I want to know 4) I want to buy หากเราเข้าใจทั้ง 4 Moment นี้ ก็จะทำให้เราสามารถออกแบบคอนเทนต์ได้ว่า ต้องการจะสื่อสารกับคนดูที่อยู่ใน Moment ไหนเป็นสำคัญ
  12. สุดท้าย เรายังต้องทำความเข้าใจกับ SEO เพื่อให้ Content ของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภายในแต่ละ Platform อีกด้วย 

และสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนไว้หากเขาชมไม่ทันหัวข้อไหนสามารถรับชมย้อนหลังได้ โดยทางสมาคมการตลาดจะทำการส่งลิงก์เข้ารับชมวีดิโอย้อนหลังได้ ที่นี่

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง