รีเซต

ต่างด้าวแห่รักษาฟรีในไทย บทเรียนของ ‘น้ำใจ’ ที่กำลังกลายเป็นช่องโหว่

ต่างด้าวแห่รักษาฟรีในไทย บทเรียนของ ‘น้ำใจ’ ที่กำลังกลายเป็นช่องโหว่
TNN ช่อง16
18 ธันวาคม 2567 ( 11:12 )
9

วิกฤตสาธารณสุขไทย: เมื่อต่างด้าวรู้ช่องทางรักษาฟรี สะท้อนปัญหาระบบที่รอการแก้ไข


"เขารู้กันขนาดนี้ ส่งต่อกันไปขนาดนี้ แล้วประเทศไทยจะแบกรับต่อไปไหวแค่ไหนอะ" 


เสียงสะท้อนที่แสดงความกังวลของพยาบาลโรงพยาบาลชายแดน สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่กำลังกลายเป็นวิกฤตในระบบสาธารณสุขไทย หลังพบว่าต่างด้าวที่เข้ามารับการรักษามีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับสิทธิการรักษาพยาบาลฟรีในประเทศไทย


เรื่องราวนี้ถูกเปิดเผยผ่านเพจ "Drama-addict" เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2567 เมื่อบุคลากรทางการแพทย์ได้เล่าถึงกรณีหญิงตั้งครรภ์ชาวพม่าที่ข้ามมารักษาด้วยภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนดร่วมกับทารกท่าก้น ซึ่งต้องใช้เวลารักษานานและมีค่าใช้จ่ายรวมหลายแสนบาท กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่กำลังกลายเป็นแนวโน้มที่น่าวิตก เมื่อพบว่าในเดือนที่ผ่านมา โรงพยาบาลแห่งนี้มีสถิติต่างด้าวมาคลอดถึง 160 ราย มากกว่าคนไทยที่มีเพียง 80 รายถึง 2 เท่า


สิทธิ ท.99: เมื่อน้ำใจไทยกลายเป็นช่องโหว่ของระบบ


ระบบสาธารณสุขไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อพบว่าชาวต่างด้าว โดยเฉพาะชาวพม่า รู้จักและเข้าใจ "สิทธิ ท.99" เป็นอย่างดี สิทธินี้คือระบบที่รัฐบาลไทยสร้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนที่ไม่มีสิทธิการรักษาตามกฎหมาย เช่น คนไร้สัญชาติ คนไทยที่ตกหล่นจากระบบ และต่างด้าวที่ไม่มีสิทธิการรักษาใดๆ ให้สามารถรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลรัฐได้ฟรี โดยรัฐบาลจะเป็นผู้จ่ายค่ารักษาให้กับโรงพยาบาลแทน


"สิทธิ ท.99" ให้การรักษาครอบคลุมแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจรักษาทั่วไป การผ่าตัด การคลอดลูก การดูแลเด็กแรกเกิด รวมถึงการรักษาฉุกเฉิน โดยเฉพาะในกรณีเด็กที่เกิดในประเทศไทย กฎหมายระบุชัดว่าต้องได้รับการดูแลรักษาฟรี และเมื่อมีใบรับรองการเกิดแล้ว ยังสามารถใช้เป็นหลักฐานขอสิทธิรักษาต่อเนื่องได้อีกด้วย เมื่อสิทธินี้ดีขนาดนั้น จึงไม่แปลกที่ข่าวจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในกลุ่มชาวต่างด้าวตามแนวชายแดน จนหลายคนตัดสินใจเดินทางข้ามแดนมารักษาในประเทศไทย


ความกังวลต่อวิกฤตสาธารณสุขไทยถูกสะท้อนผ่านมุมมองของ หมอธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและระบบประสาท ที่แสดงความเป็นห่วงต่อปรากฏการณ์ที่ต่างด้าวมีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับระบบสิทธิการรักษาในประเทศไทย โดยเฉพาะ "สิทธิ ท.99" ที่ให้การรักษาฟรี จนเกิดการบอกต่อและส่งต่อข้อมูลกันอย่างกว้างขวางในกลุ่มต่างด้าวตามแนวชายแดน


สถานการณ์ที่น่าวิตกนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงช่องโหว่ของระบบเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อระบบสาธารณสุขไทยในระยะยาว ทั้งในแง่ภาระค่าใช้จ่าย การจัดสรรทรัพยากรทางการแพทย์ และความสามารถในการให้บริการประชาชนไทย ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับการดูแลระบบสาธารณสุขของประเทศอย่างยั่งยืน


สิทธิ ท.99 กับมิติแห่งมนุษยธรรม


อย่างไรก็ตาม นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาให้มุมมองที่แตกต่างเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว โดยชี้แจงว่าตามรายงานจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่สอด กรณีที่เป็นข่าวนั้นเป็นการทำคลอดให้หญิงตั้งครรภ์ที่ชำระเงินค่ารักษาพยาบาลเอง ซึ่งโรงพยาบาลได้รับค่ารักษาส่วนนั้น แต่ปัญหาเกิดจากเด็กที่คลอดออกมามีอาการป่วยเนื่องจากคลอดก่อนกำหนด จำเป็นต้องเข้ารักษาในห้องไอซียู (ICU) ซึ่งตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยระบุว่า เด็กที่เกิดในประเทศไทยจะต้องได้รับการดูแลและรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย


ปลัดกระทรวงสาธารณสุขยังอธิบายเพิ่มเติมว่า โรงพยาบาลตามแนวชายแดนจะมีการรักษาชาวต่างชาติ 2 ส่วน คือ กลุ่มที่ชำระเงินเอง ซึ่งจะเป็นรายได้ของโรงพยาบาล และกลุ่มผู้ยากไร้ที่ต้องให้การรักษาตามหลักมนุษยธรรม โดยส่วนใหญ่การรักษาต่างชาติจะสร้างรายได้ให้โรงพยาบาลมากกว่า เนื่องจากมีการคิดในอัตราค่าบริการชาวต่างชาติ และเมื่อนำมาเฉลี่ยกับกลุ่มผู้ป่วยที่ยากไร้ โรงพยาบาลก็ยังมีรายรับมากกว่ารายจ่าย ส่วนปัญหาผู้ป่วยรักษาแล้วไม่ชำระเงินนั้นมีอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เป็นทุกราย


ความร่วมมือไทย-พม่า เพื่อแก้ปัญหาสาธารณสุขชายแดน


ไทยและพม่าไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหาสาธารณสุขที่เกิดขึ้น โดยในปี 2556 ทั้งสองประเทศได้จับมือกันแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ผ่านการลงนามข้อตกลงร่วมกัน หรือที่เรียกว่า MOU โดยมี นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไทยในขณะนั้น และ ศ.พี เธท คิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพม่า เป็นผู้ลงนาม


จุดเด่นของความร่วมมือครั้งนี้คือการริเริ่ม "โครงการโรงพยาบาลคู่แฝด" ซึ่งเป็นการจับคู่โรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศ 4 คู่ด้วยกัน ได้แก่ โรงพยาบาลในจังหวัดเชียงรายจับคู่กับโรงพยาบาลในเมืองท่าขี้เหล็ก, โรงพยาบาลในจังหวัดตากจับคู่กับโรงพยาบาลในเมืองเมียวดี, โรงพยาบาลในจังหวัดกาญจนบุรีจับคู่กับโรงพยาบาลในเมืองทวาย และโรงพยาบาลในจังหวัดระนองจับคู่กับโรงพยาบาลในเกาะสอง


เป้าหมายสำคัญของโครงการนี้คือการยกระดับมาตรฐานการรักษาพยาบาลในฝั่งพม่าให้ใกล้เคียงกับไทยมากขึ้น ผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างบุคลากรทางการแพทย์ของทั้งสองประเทศ การพัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วย และการร่วมมือกันในการควบคุมโรคตามแนวชายแดน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการข้ามแดนมารักษาในไทย และทำให้ประชาชนทั้งสองประเทศได้รับการดูแลสุขภาพอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น


นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขไทยยังได้พยายามแก้ปัญหาด้วยการกำหนดระบบประกันสุขภาพสำหรับต่างด้าว โดยกำหนดอัตราค่าบัตรประกันสุขภาพสำหรับผู้ใหญ่ที่ 2,800 บาทต่อปี และสำหรับเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีที่ 365 บาทต่อปี ครอบคลุมบริการตั้งแต่การรักษาพยาบาลทั่วไป การฟื้นฟูสภาพ ไปจนถึงการรักษากรณีอุบัติเหตุฉุกเฉินและการส่งเสริมสุขภาพ


แต่ถึงจะมีความพยายามแก้ไขปัญหา ผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขไทยก็ยังคงชัดเจน โดยเฉพาะภาระทางการเงินที่โรงพยาบาลต้องแบกรับจากหนี้ค้างชำระของต่างด้าวที่มีมูลค่าหลายพันล้านบาท บางเคสมีค่ารักษาสูงถึงหลักแสนบาท นอกจากนี้ยังส่งผลต่อภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องดูแลผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น ทำให้เกิดความแออัดในโรงพยาบาลและส่งผลให้ผู้ป่วยไทยต้องรอคิวนานขึ้น


ระบบสาธารณสุข 2 ฝั่งชายแดน : คนไทยเสียเปรียบ?


ในขณะที่ต่างด้าวสามารถเข้าถึงการรักษาฟรีในไทยผ่าน "สิทธิ ท.99" แต่กลับพบว่าคนไทยที่เจ็บป่วยในพม่าต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด เพราะระบบสาธารณสุขของพม่าจะให้สิทธิการรักษาฟรีเฉพาะพลเมืองของตนเองเท่านั้น หากคนไทยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลพม่า ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน จะต้องจ่ายค่ารักษาตามอัตราที่กำหนด โดยเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง


อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ชายแดนมีความร่วมมือพิเศษระหว่างไทยและพม่าผ่านโครงการ "โรงพยาบาลคู่แฝด" ที่อาจช่วยให้คนไทยได้รับการดูแลในกรณีฉุกเฉินหรือตามหลักมนุษยธรรม โดยอาจไม่คิดค่าใช้จ่ายหรือคิดในอัตราพิเศษ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงเฉพาะของแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ สำหรับแรงงานไทยที่ทำงานในพม่าอย่างถูกกฎหมายและมีประกันสุขภาพ ก็อาจได้รับสิทธิการรักษาตามที่ประกันคุ้มครอง


ความแตกต่างของระบบสาธารณสุขระหว่างสองประเทศนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมดุลในการให้บริการทางการแพทย์ ในขณะที่ไทยมีระบบที่เอื้อต่อการช่วยเหลือต่างด้าวอย่างกว้างขวาง แต่คนไทยกลับไม่ได้รับสิทธิพิเศษเช่นเดียวกันเมื่อต้องรักษาตัวในพม่า ดังนั้น การเดินทางไปพม่าจึงควรมีการเตรียมพร้อมด้านประกันสุขภาพเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น


สิทธิ ท.99 : เส้นทาง..สู่ความสมดุล 


ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่ครอบคลุมหลายมิติ เริ่มจากการปรับปรุงระบบการตรวจสอบสิทธิให้รัดกุมมากขึ้น พัฒนาระบบประกันสุขภาพต่างด้าวให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามทวงหนี้ ในขณะเดียวกันก็ต้องเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งการพัฒนาระบบสาธารณสุขในประเทศต้นทาง การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสุขภาพ และการร่วมมือกันควบคุมโรคข้ามพรมแดน


การพัฒนาระบบบริการก็เป็นอีกประเด็นสำคัญ โดยต้องเสริมความเข้มแข็งให้โรงพยาบาลชายแดน พัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพ และปรับปรุงคุณภาพการให้บริการโดยรวม เพื่อรองรับสถานการณ์ที่ท้าทายนี้


วิกฤตครั้งนี้จึงเป็นบททดสอบสำคัญของระบบสาธารณสุขไทย ที่ต้องรักษาสมดุลระหว่างการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับการบริหารทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบและบูรณาการ โดยคำนึงถึงทั้งมิติด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อให้ระบบสาธารณสุขไทยสามารถยืนหยัดและให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ควบคู่ไปกับการรักษาคุณภาพการให้บริการแก่ประชาชนไทยและการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างสมดุล



ภาพ Freepik 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง