รีเซต

Longevity คืออะไร? ต้องอายุยืน 100 ปี แต่มีภาระ ? เมื่อเทรนด์สุขภาพยั่งยืนเป็นที่ถกเถียง

Longevity คืออะไร? ต้องอายุยืน 100 ปี แต่มีภาระ ? เมื่อเทรนด์สุขภาพยั่งยืนเป็นที่ถกเถียง
TNN ช่อง16
15 กันยายน 2568 ( 16:50 )
22

อายุต้องยืนยาวกว่า 100 ปี ต้องดูเด็ก ดูเยาว์วัย แต่ยิ่งอายุยืน การดูแลสุขภาพยิ่งเป็นเรื่องหรูหรา เป็นภาระ 

เทรนด์ของ Longevity หรือการใช้ชีวิตอย่างยืนยาวกลายมาเป็นสิ่งที่หลายๆ คน ไปถึงแบรนด์ต่างๆ พูดถึง แต่ล่าสุด คำๆ นี้ ได้ถูกพูดถึงบนโลกโซเชียล และมีการถกเถียงมากมายว่า Longevity คืออะไรกันแน่ และเราจำเป็นต้องมีอายุยืนยาวกันจริงๆ หรือ และสิ่งๆ นี้ เป็นภาระ และเพิ่มความเหนื่อยยากในการใช้ชีวิตให้เราหรือเปล่า 


Longevity คืออะไร ? ต้องอายุยืนถึง 100 ปีไหม ?

คำว่า Longevity ถูกมองว่าเป็นเทรนด์ หรือสิ่งสำคัญในภาคสุขภาพในปี 2025 ตามรายงาน 'แนวโน้มผู้บริโภคระดับโลกยอดนิยมปี 2025' ของ Euromonitor International ที่ทำการสํารวจผู้บริโภคมากกว่า 40,000 คน ซึ่งทำให้เห็นว่า ผู้คนกำลังเปลี่ยนแปลงกิจวัตรด้านสุขภาพโดยเจตนาเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในอนาคต ให้ตัวเองนั้นมีสุขภาพที่ดีขึ้น และอยู่ยาวนานขึ้น

ซึ่งสิ่งที่ตามมากับเทรนด์นี้ คือการเห็นผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ลงทุนในอุปกรณ์อัจฉริยะ หรือแอปฯ การติดตามผลสุขภาพต่างๆ และตลาดของเทคโนโลยีนี้ก็คาดว่าจะโตข้ึนเรื่อยๆ 

ในด้านเศรษฐกิจเอง World Economic Forum (WEF) ก็ยังพูดถึงเศรษฐกิจแบบ Longevity ไว้เช่นกัน ว่าโลกกำลังเจอกับเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ โดยคาดว่าประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2050 การเปลี่ยนแปลงนี้กําลังเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ สังคม และวิธีที่เราใช้ชีวิตและทํางาน แต่ระบบปัจจุบันยังไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับชีวิตที่ยืนยาวขึ้น 

ดังนั้นเศรษฐกิจแบบ Longevity ได้เสนอการจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ในขณะที่ปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่ง WEF มองว่าเป็นมากกว่าแค่การปรับตัว แต่เป็นการสร้างระบบที่ส่งเสริมความยืดหยุ่น ความเท่าเทียม และความยั่งยืนสําหรับทุกคน ซึ่งมีทั้งเรื่องของ ออกแบบระบบเกษียณอายุใหม่ พัฒนานวัตกรรมทางการเงิน และส่งเสริมการเรียนรู้แบบยั่งยืนเพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ทางการเงิน และสุขภาพที่ดีขึ้นสําหรับบุคคลและสังคม เป็นต้น 

แต่เมื่อคำว่า Longevity ถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ บวกกับข่าวการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมทางการแพทย์ ไปถึงการยืดอายุขัยของคน ทำให้บางส่วนอาจมีการมองว่า การจะอยู่อย่างยั่งยืน ยาวนานนั้น ต้องใช้เงิน และการเป็นเรื่องของความหรูหรา และฟุ่ยเฟือย รวมถึงยังสร้างความเหนื่อยล้าให้กับชีวิตประจำวัน ที่แค่ปัจจุบันก็เป็นเรื่องยากแล้ว 

TNN Online พูดคุยกับ นพ.จิรรุจน์ ชมเชย กุมารแพทย์โรคระบบหายใจ ว่าความหมายของ Longevity มุมมองของคุณหมอต่อการดูแลตัวเองอย่างยั่งยืน และกระแสที่มีการถกเถียงถึงคำๆ นี้บนโลกออนไลน์ ซึ่งคุณหมอเองก็ได้บอกว่า จริงๆ แล้วคำนี้ ยังไม่ได้มีความหมายอย่างเป็นทางการ 

“Longevity ในทางการแพทย์ ยังไม่ได้มีนิยามแบบที่เป็นมาตรฐานที่ถูกบัญญัติ โดยองค์กรทางสุขภาพ แบบชัดเจนว่ามันจะต้องเป็นแบบไหน ดังนั้นจึงมีความหมายที่แตกต่างกันออกไป แต่ว่าส่วนใหญ่ในความเข้าใจเบื้องต้นก็คือการมีอายุที่ยืนยาว

การมีอายุที่ยืนยาว ปัจจุบันเนี่ยค่าเฉลี่ยของอายุที่ยืนของคนเราเรียกว่า Lifespan คืออายุตั้งแต่เกิดจนถึงตาย แต่ไม่ได้บอกว่า ตอนตายสภาพเป็นอย่างไร ต้องไปหาหมอทุกกี่เดือน นอนติดเตียง หรือเดินได้คล่อง จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายที่คุณเสียชีวิต แต่นอกจากคำนี้ จะมีอีกคำหนึ่งที่เรียกว่า Healthspan คือตั้งแต่เกิดไปจนถึงตอนที่คุณเริ่มมีการป่วยด้วยโรคต่างๆ 

ยกตัวอย่างคือ Lifespan ของเราโดยเฉลี่ยจากข้อมูลในปี 2021 อยู่ที่ประมาณ 72 ปี ดังนั้น Healthspan จะอยู่ที่ประมาณ 62 ปี คือช่วงว่างระหว่าง 72 ปี กับ 62 ปี ซึ่งคือ 10 ปีก่อนที่คุณจะตาย คุณจะต้องป่วยด้วยโรคอะไรบางอย่าง ที่คุณจะต้องไปหาหมอเป็นประจำ หรือว่าความรุนแรงมากน้อยแค่ไหนเราก็ไม่รู้ แต่จะทำยังไงให้ช่วงเวลาตรงนี้ ระหว่าง Healthspan กับ Lifespan สั้นมากท่ีสุด หมายความว่ามนุษย์ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ทำอย่างไรให้ช่วงเวลาของการเจ็บน้อยที่สุด แล้วก็ตาย”


นพ.จิรรุจน์ ชมเชย

คุณหมอยังมองอีกว่า หลายคนเข้าใจความหมายของ Longevity ว่าต้องอายุยืนยาว เกิน 100 ปี แต่สำหรับหมอจิรรุจน์นั้นมองว่าไม่จำเป็น “เพราะว่าคนเรามีความหมาย มีวัตถุประสูงค์ในการอยู่ในชีวิตแตกต่างกันออกไป แต่สมมุติว่าถ้าเรามีอายุไม่ถึง 80 ปี จะทำยังไงใน 80 ปี และในช่วงสุดท้ายของเราอีก 10 ปีนั้น ตามที่เราพูดถึงนั้นจะไม่ป่วย

เพราะฉะนัน ในความหมายของผมจริงๆ คำว่า Longevity ไม่ได้นิยามว่าคุณจะต้องมีอายุที่ยืนยาว แบบนั่งรถเข็นแล้วก็จบที่อายุ 90 ปี แต่หมายความว่า จะทำยังไงให้ตลอดชีวิตที่คุณดำเนินอยู่  คุณจะมีสุขภาพที่แข็งแรง ดูแลตนเองได้ ไม่ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลเป็นประจำหรืออาจจะมีบ้างเล็กๆ น้อยๆ ตามวัย ตามความเสื่อม แต่ก็ไม่ได้ลำบากชีวิตคุณจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต” 

แต่คุณหมอมองว่า ปัจจุบัน การสื่อสารในความหมายของหมอนั้น อาจจะไม่เร้าใจ จึงเกิดการพูดถึงอายุตัวเลขที่ยืนยาวขึ้นมา โดยคุณหมอยกตัวอย่างว่า การพูดว่า ทำอย่างไรจะไม่ป่วย ? กับทำอย่างไรจะอยู่ได้ 120 ปี ? ประโยคที่สองก็มักดูหวือหวา เร้าใจมากกว่า แต่จริงๆ แล้วเราต้องทำความเข้าใจว่า Longevity ไม่ใช่การอยู่ไปถึง 100 หรือ 120 ปี 

“เพราะว่ามันไม่มีประโยชน์จากการอยู่ถึงขนาดนั้น ถ้าเพื่อนๆ เราตายหมด คนที่อยู่รอบข้างเราก็แก่ ตายกันหมด ถามว่าตอนนั้นเราจะมีความสุขจริงหรือ ? จะประคองความสุขรอบๆ ตัวได้จริงหรือ ดังนั้น สิ่งสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่จำนวนตัวเลข” คุณหมอย้ำถึงความหมายในมุมของตัวเอง 


Longevity 0 บาท ทำได้อย่างไร ?

แล้วการมีสุขภาพที่ดีไปจนถึงบั้นปลายชีวิตนั้น ต้องใช้เงินจำนวนมากหรือไม่ ? หมอจิรรุจน์ได้นำเสนอแนวคิด Longevity 0 บาท ซึ่งเป็นการแนะนำว่าเป็นสิ่งที่เราทำ และปรับได้เพื่อสุขภาพโดยไม่เสียเงินก่อน

“Longevity 0 บาท เกิดจาก การสนทนากับคนในเพจผม เขาถามผมว่า ทำยังไงดีครับผมไม่มีเงินที่จะไปเข้าคอร์สเจาะเลือด ดูระดับวิตามิน หรือทำนั่นนี่ คุณหมอมีวิธีแนะนำไหม ? ผมก็แนะนำไป 6 ข้อที่ควรจะทำ” 

ซึ่งคำแนะนำเหล่านั้น ได้แก่ การตื่นนอนให้เร็ว 1 ชั่วโมงก่อนน้อนงดเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ, อดให้นานกว่ากิน, การกินไขมันให้น้อย โปรตีนให้ครบ, มีสติกับลมหายใจ, รักษาเพื่อนฝูง คนรอบตัว และไม่นำสารพิษเข้าใส่ตน ทั้งทางกาย และทางใจ 

“อันนี้คือการทำพื้นฐาน Longevity 0 บาท ทำแบบนี้ให้ได้ดีที่สุดก่อน ส่วนที่เหลือเป็นทางเลือกเสริม ถ้าคุณอยากจะไปทำสิ่งอื่นๆ เพื่อจะอยู่ได้ยืนยาวขึ้นแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ว่าแกนหลักของการที่จะทำให้มีชีวิตยืนยาว” 

“จริงๆ มันต้องใช้เงินอยู่แล้ว แต่ต้องใช้เงินในทางที่ถูกต้อง ยกตัวอย่างอาหารที่คุณจะกิน ถ้าจะกินอาหารที่เสียสุขภาพ เก็บเงินนั้นไปกินโปรตีนที่ดีกว่าสุขภาพดีกว่าไหม เก็บเงินที่ไปแฮงค์เอ้า ดื่มแอลกอฮอล์มาทำอย่างอื่น ที่ไปติดตามตัวเราว่ามีสุขภาพที่ดีแล้วหรือยังดีไหม มันเป็นการเปลี่ยนทรัพยากร เพราะในโลกใบนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่จ่ายอะไรเลย แม้แต่ข้าวที่กิน เพียงแต่ว่าเราจะกินอะไรเพื่อสุขภาพที่ดี เราอาจจะมีรายได้บางอย่างลดลง แต่แลกกับเวลาที่เราจะได้พักผ่อนมากขึ้น อันนี้คือที่หมายถึง Longevity 0 บาท แต่จะไม่จ่ายอะไรเลยเป็นไปไม่ได้” 

คุณหมอยังมองว่า เหตุผลที่มีมุมมองต่อ Longevity ว่าเป็นภาระ หรือ หรือเรื่องยากลำบากนั้น “เพราะสภาพสังคมเพราะวิธีการเป็นอยู่ของเราเนี่ยมันบีบให้ไปทางนั้น  แต่เราต้องลำดับความสำคัญในชีวิตอยู่แล้วว่า ต้องมีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน และสอง ต้องรักตนเอง” 

ซึ่งหมอยังบอกอีกว่า การรักตนเอง กับเห็นแก่ตัวไม่เหมือนกัน “เพราะการรักตัวเองคือ หากเรารู้ว่าอาหารแบบนี้ไม่ดี ไม่ต้องมานั่งคิดว่าลำบากจัง กินอะไรก็ไม่ได้ แต่ให้คิดในทางที่ดีคือ รักตัวเอง ห่วงสุขภาพตัวเอง ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ พักผ่อนเพียงพอ เราก็สามารถอยู่บนโลกนี้ได้ โดยมีอายุยืนยาวโดยไม่ป่วยได้เหมือนกัน สิ่งสำคัญอยู่ที่ทัศนคติ หากเราไม่มีสกิลรักตัวเอง ดูแลตัวเอง ขอบคุณตัวเอง เราจะมองว่า การให้สิ่งที่ดีกับตัวเองเป็นเรื่องยาก เพราะว่าเราปล่อยตัวเราวิ่งไปกับกระแสของสังคมทุกอย่าง”

สำหรับสิ่งที่เป็นค่าใช้จ่ายฟุ่ยเฟือยที่เหลือนั้น คุณหมอมองว่า ไม่ได้เป็นพื้นฐานของ Longevity แต่เป็นเหมือนตัวเลือกเสริม “พวกนั้นคือตามศรัทธา ตามความรู้ แต่เรื่องพื้นฐานคือ ทำยังไงที่กินอาหารมีประโยชน์ มีสารพิษให้น้อย นอนให้พอ มีความเครียดน้อยลงทำไง ขยับออกกำลังกาย อันนั้นไม่ใช่ความหรูหรา การกินอาหารที่เหมาะกับสุขภาพ ไม่ต้องเป็นของแพง แค่รู้ว่าดีต่อสุขภาพ  

คนที่มองว่า Longevity เป็นภาระ หรูหรา เค้าน่าจะมองอีกด้านนึง เพราะส่วนใหญ่ Longivity ที่คนนึกถึงคือมีอายุที่ยืนยาว สิ่งสำคัญไม่ใช่มีอายุยืนยาว แต่คือเราจะไม่มีโรคเรื้อรังในระยะยาว แล้วจะทำยังไงจะปิดกับเราตรงนี้ ว่าอายุเยอะขึ้นเราจะไม่ป่วยจนวันสุดท้ายที่เรามีลมหายใจ” 

แต่ถึงอย่างนั้น แม้เราจะเลือกกินได้ นอนเร็วได้ แต่คุณหมอก็ยอมรับว่า หลายๆ อย่างในสภาพสังคมอาจไม่ได้เอื้อให้เรา Longevity ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่ดีต่อร่างกาย หรือสุขลักษณะอนามัยของอาหารต่างๆ และก็ต้องได้รับการสนับสนุน ผลักดันจากภาครัฐควบคู่กันไป 

“ผมว่าเรื่องนี้ต้องปรับนโยบายสุขภาพของประเทศเราก่อน นโยบายสุขภาพของประเทศเราต้องเน้นเรื่องของการส่งเสริมสุขภาพในทางที่ถูกต้อง การควบคุมเรื่องของอาหารการกินทั้งหลายตั้งแต่เด็กขึ้นมา เพราะการที่

คนคนนึงจะมี Longevity ได้ จะมาทำตอนอายุ 50-55 ปี ก็อาจไม่ทันแล้ว วันนี้ลูกหลานกิน UPF อาหารแปรรูปขั้นสูงกันตั้งแต่หน้าโรงเรียน แล้วเรามีเด็กที่เป็นโรคเรื้อรังเพิ่มมากขึ้น มีเด็กอ้วนจนเสียชีวิต จะเริ่มตรงไหนล่ะครับ ต้องเริ่มตั้งแต่เด็ก 

ส่วนคนก่อนหน้านี้ไป ใครที่ปรับตัวได้ เข้าใจได้ เห็นโลกทัน แต่ก็ต้องส่งเสริมนโยบายภาครัฐ ทั้งเรื่องการกิน การกระตุ้นให้คนออกกำลังกาย นโยบายสาธารณูปโภค น้ำดื่มสะอาด มีอาหารที่มีคุณภาพ มันเป็นเรื่องใหญ่มากในการที่จะพูด แต่ผมมองว่าที่สำคัญที่สุดคือนโยบายต้องไปที่เด็กก่อน” หมอจิรรุจน์สรุป 


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง