เศรษฐกิจไทยปี 68 โตต่ำสุดในรอบหลายปี สภาพัฒน์หั่นเป้าเหลือ 1.3–2.3%

สภาพัฒน์ปรับลดประมาณการ GDP ไทยปี 2568 เหลือโตเพียง 1.3–2.3% จากแรงกดดันสงครามการค้า ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกชะลอ เสนอ 6 แผนรับมือ พึ่งพาการลงทุนรัฐ บริโภคในประเทศ และท่องเที่ยว
เป้าหมายโตต่ำสุดในรอบปี ท่ามกลางความไม่แน่นอน
สภาพัฒน์ประกาศปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 เหลือ 1.3–2.3% จากที่เคยประเมินไว้ในช่วง 2.3–3.3% โดยให้เหตุผลว่าแนวโน้มเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศยังอยู่ในภาวะเปราะบาง การส่งออกของไทยเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ และการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าสำคัญ ขณะที่ภาคการผลิตและอุตสาหกรรมยังอยู่ในภาวะชะลอตัว และการลงทุนภาคเอกชนขาดแรงส่ง
แม้จะถูกมองว่าเป็นการประเมินในทางลบ แต่เลขาธิการสภาพัฒน์ นายดนุชา พิชยนันท์ ยืนยันว่า ตัวเลขค่ากลาง 1.8% ไม่ได้สะท้อนมุมมองในเชิงร้ายแรงเกินไป หากแต่ต้องการให้ภาคธุรกิจเตรียมพร้อมรับความผันผวนที่กำลังจะเกิดขึ้น
ปัจจัยหลักที่ฉุดเศรษฐกิจ
การส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังเผชิญแรงเสียดทานจากหลายทิศทาง ทั้งมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ การแข่งราคาจากสินค้านำเข้า และภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวตามมา
ในแง่ของภาคเกษตร แม้ผลผลิตมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงจากราคาสินค้าเกษตรที่อาจลดลงตามกลไกตลาด ซึ่งยิ่งเพิ่มความเปราะบางให้กับรายได้ของครัวเรือนไทย
สมมติฐานการประเมินเศรษฐกิจปี 68
สภาพัฒน์ใช้ปัจจัยพื้นฐานหลายด้านในการประเมิน อาทิ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ 2.6% ปริมาณการค้าโลกที่ 1.7% ค่าเงินบาทเฉลี่ย 33.5–34.5 บาทต่อดอลลาร์ ราคาน้ำมันดูไบเฉลี่ย 65–75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะอยู่ที่ 37 ล้านคน โดยสร้างรายได้ราว 1.71 ล้านล้านบาท
ความไม่แน่นอนจากภายนอกยังปกคลุมเศรษฐกิจ
แม้การส่งออกไตรมาสแรกขยายตัวถึง 15% แต่สภาพัฒน์ยังไม่มั่นใจว่าจะเพียงพอประคองอีก 3 ไตรมาสที่เหลือ เนื่องจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ยังไม่แน่นอน หลายประเทศยังอยู่ระหว่างการเจรจา โดยมีเพียงสหราชอาณาจักรที่สรุปผลเจรจาแล้ว สถานการณ์ทางการค้าจึงยังคงอ่อนไหว และอาจพลิกผันได้ตลอดเวลา
วางยุทธศาสตร์ใหม่ เสริมพื้นที่ทางการคลัง
สภาพัฒน์เสนอให้รัฐเร่งเพิ่มศักยภาพทางการคลัง ควบคู่กับการรักษาวินัยการคลัง เพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในยามฉุกเฉิน พร้อมเตือนว่า การใช้จ่ายภาครัฐช่วงต่อจากนี้ควรทำอย่างระมัดระวัง และสอดคล้องกับการจัดเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ในด้านการเงิน สภาพัฒน์ระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังมีการหารือกันต่อเนื่อง โดยย้ำว่ามาตรการทางการเงินและการคลังต้องประสานกันอย่างเหมาะสมกับสภาวะที่เปลี่ยนแปลง
3 แรงขับเคลื่อนหลักยังพอมีหวัง
แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะชะลอลง แต่สภาพัฒน์ยังเห็นช่องทางในการกระตุ้นผ่าน 3 เครื่องยนต์หลัก คือ
1. การลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะจากงบรายจ่ายปี 2568 ที่สูงถึง 3.685 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนราว 5.9%
2. การบริโภคภายในประเทศ ที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่องจากการใช้จ่ายในหมวดบริการและสินค้าอุปโภค
3. การท่องเที่ยว ที่ยังเติบโตแม้จำนวนรวมจะลดลง 0.3% โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวระยะไกลที่เข้ามาทดแทนกลุ่มจีนและมาเลเซียได้ดี
ความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง
เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากหลายด้าน ได้แก่
• หนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจที่สูง
• ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและนโยบายสหรัฐฯ
• มาตรการกีดกันทางการค้า เช่น ภาษีศุลกากรเฉพาะกลุ่มที่อาจกระทบการส่งออก
• ความเปลี่ยนแปลงในราคาสินค้าเกษตร ซึ่งมีผลโดยตรงต่อรายได้เกษตรกร
6 ข้อเสนอเร่งด่วนจากสภาพัฒน์
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ สภาพัฒน์เสนอแนวทางเชิงรุก 6 ด้าน ดังนี้
1. เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และเพิ่มความยืดหยุ่นทางการคลัง
2. ส่งเสริมความร่วมมือทางการค้ากับประเทศคู่ค้า และขยายตลาดส่งออกใหม่
3. ป้องกันการทุ่มตลาด และเข้มงวดกับสินค้านำเข้าผิดกฎหมาย
4. ช่วยเหลือ SMEs ที่ขาดสภาพคล่อง พร้อมสร้างการรับรู้ถึงมาตรการช่วยเหลือ
5. วางแผนบริหารผลผลิตทางการเกษตร และลงทุนด้านทรัพยากรน้ำ
6. สร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเตรียมโครงสร้างพื้นฐานรองรับ