รีเซต

เฝ้าระวัง "คนจน" ในไทยพุ่ง 3.43 ล้านคน

เฝ้าระวัง "คนจน" ในไทยพุ่ง 3.43 ล้านคน
TNN ช่อง16
22 กันยายน 2568 ( 10:50 )
6

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)ได้เผยแพร่รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยล่าสุดปี 2567 ผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักงานฯ (http://www.nesdc.go.th)  พบว่า สถานการณ์ความยากจนของไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา 


อย่างไรก็ดีในปี 2567 พบว่าจำนวนคนจนเพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 4.89 ของประชากรทั้งประเทศเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 3.41 และเส้นความยากจนปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงลักษณะพลวัตของความยากจนที่ประชาชนสามารถเปลี่ยนสถานะระหว่าง “จน” และ “ไม่จน” ได้ตามปัจจัยเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม หรือผลกระทบจากภัยธรรมชาติ

แม้สัดส่วนคนจนในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า แต่หากพิจารณาในภาพรวมระยะยาวจะพบว่าแนวโน้มความยากจนของประเทศยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเพิ่มขึ้น/ลดลงในระยะสั้นสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเชิงพลวัตของความยากจน ที่ประชาชนสามารถเปลี่ยนสถานะระหว่าง “จน” และ “ไม่จน” ได้ตามปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ อาทิ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม การเข้า(ไม่)ถึงสวัสดิการของรัฐ ตลอดจนเหตุการณ์เฉพาะหน้า เช่น ภัยธรรมชาติ หรือความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร 

ดังนั้น แม้การเพิ่มขึ้นของจำนวนคนจนในปีนี้ อาจเป็นเพียงภาวะชั่วคราวในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่ถือเป็นสัญญาณที่ควร "เฝ้าระวัง" อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะแรงงานในภาคเกษตรที่มีจำนวนคนจนเพิ่มขึ้นมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 45.49 ของคนจนทั้งหมด สะท้อนถึงความเปราะบางเชิงโครงสร้างของภาคเกษตรที่ต้องพึ่งพารายได้จากการผลิต ซึ่งมีความผันผวนสูงตามสภาพอากาศและราคาสินค้าเกษตรที่ไม่แน่นอน ส่งผลให้ครัวเรือนเกษตรจำนวนมากยังคงตกอยู่ในภาวะยากจนเมื่อเศรษฐกิจภาคเกษตรเผชิญกับภาวะชะลอตัว 

สถานการณ์ดังกล่าวยังเห็นได้ชัดในกลุ่มคนเปราะบางต่อความยากจนที่มีจำนวนคนจนเพิ่มสูงขึ้นในทุกระดับความรุนแรง โดยกลุ่ม “คนจนมาก” (คนที่มีระดับรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคต่ำกว่าเส้นความยากจนเกินกว่าร้อยละ 20) หรือกลุ่มที่เผชิญกับความยากจนขั้นรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็น  879,000 คน  ขณะที่กลุ่ม “คนจนน้อย” (คนที่มีระดับรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคต่ำกว่าเส้นความยากจนไม่เกินร้อยละ 20) เพิ่มขึ้นเป็น 2.55 ล้านคน  และกลุ่มคนเกือบจน ( คนที่มีระดับรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคสูงกว่าเส้นความยากจนไม่เกินร้อยละ 20) หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะตกอยู่ในภาวะยากจนเพิ่มขึ้นเป็นเป็น 4.29 ล้านคน 

สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างระบบการดูแลกลุ่มเปราะบางให้ครอบคลุมทุกระดับของความยากจน ท่ามกลางปัจจัยเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ช่องว่างความยากจนและระดับความรุนแรงของปัญหาความยากจนเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยช่องว่างความยากจน  ( Poverty Gap Ratio คือ ค่าเฉลี่ยความแตกต่างระหว่างเส้นความยากจนกับรายจ่ายต่อคนต่อเดือน ) ของคนจนเพิ่มขึ้นเป็น 0.68 ในปี 2567 สะท้อนว่าคนจนในปีนี้มีรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคต่ำกว่าเส้นความยากจนมากกว่าปีที่ผ่านมา 

สอดคล้องกับระดับความรุนแรงของปัญหาความยากจน (Poverty Severity Ratio คือ ค่าเฉลี่ยความแตกต่างกำลังสองระหว่างเส้นความยากจนกับรายจ่ายต่อคนต่อเดือนของคนจน) ซึ่งสะท้อนถึงความยากลำบากในการดำรงชีพของคนจน ก็เพิ่มขึ้น 0.15 ในช่วงเวลาเดียวกัน 

นอกจากนี้ ประชากรนอกเขตเทศบาลเผชิญกับภาวะยากจนสูงกว่าประชากรในเขตเทศบาลอย่างชัดเจน และในปี 2567 ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ยังคงเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนประชากรยากจนสูงที่สุดของประเทศ โดยมีสัดส่วนคนจนอยู่ที่ร้อยละ 9.43 ร้อยละ 6.56 และร้อยละ 5.75 ตามลำดับ

ถึงแม้ว่าภาคใต้จะเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดในภูมิภาค แต่ในเชิงจำนวนสัมบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีจำนวนคนจนมากกว่าภาคใต้ เนื่องจากมีจำนวนประชากรรวมมากกว่า โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนคนจนสูงสุด ที่ประมาณ 1.19 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 34.63 ของคนจนทั้งประเทศ รองลงมาคือภาคใต้ 927,000  คน หรือคิดเป็นร้อยละ 27.01 

สำหรับภาพรวมสถานการณ์ความยากจนในระดับจังหวัดในปี 2567 แย่ลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยส่วนใหญ่มีสัดส่วนคนจนเพิ่มขึ้น  โดยจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดเป็น 10 อันดับแรก หรือมีความยากจนหนาแน่นที่สุด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาสอุบลราชธานี สระแก้ว พัทลุง ศรีสะเกษ เชียงราย และตาก โดยแม่ฮ่องสอนและปัตตานีอยู่ใน 5 อันดับแรกของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดต่อเนื่องกันอย่างน้อย 15 ปี สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความยากจนเรื้อรังในจังหวัดดังกล่าว 

นอกจากนี้ หากพิจารณาจาก 10 จังหวัดแรกที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดในปี 2567 จะพบว่า 5 ใน 10 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และตาก มักติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของจังหวัดที่มี สัดส่วนคนจนสูงสุดในปีอื่น ๆ ด้วย สะท้อนว่ามีแนวโน้มเผชิญกับปัญหาความยากจนเรื้อรัง

อย่างไรก็ดี แม้ภาพรวมสถานการณ์ความยากจนในระดับจังหวัดในปี 2567 แย่ลงอย่างชัดเจน  แต่มีเพียง 15 จังหวัด ที่มีสัดส่วนคนจนลดลงจากปี 2566 ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ สุพรรณบุรี ตราด พังงา สุราษฎร์ธานี กำแพงเพชร นครราชสีมา เพชรบุรี จันทบุรี เพชรบูรณ์ อุดรธานี กาญจนบุรี อุตรดิตถ์ พิจิตร และยโสธร

นอกจากนี้พบว่า ครัวเรือนที่อยู่ในภาวะยากจนต้องแบกรับภาระในการดูแลสมาชิกในครัวเรือนในอัตราที่สูงกว่าครัวเรือนที่ไม่ยากจน โดยข้อมูลในปี 2567 พบว่า อัตราการพึ่งพิง (Dependency Ratio) ของครัวเรือนยากจนอยู่ที่ร้อยละ 103.69 หมายความว่า วัยแรงงาน 1 คน ในครัวเรือนยากจน ต้องรับภาระในการดูแลเด็กและผู้สูงอายุรวมกันโดยเฉลี่ย 1.04 คน ขณะที่วัยแรงงาน 1 คน ในครัวเรือนไม่ยากจน รับภาระในการดูแลเด็กและผู้สูงอายุเพียง 0.60 คน  แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ

ภาระดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อศักยภาพของกำลังแรงงานในครัวเรือนยากจน เนื่องจากสมาชิกในวัยแรงงานจำเป็นต้องแบ่งเวลาจากการทำงานเพื่อดูแลเด็กและผู้สูงอายุทำให้โอกาสในการสร้างรายได้ลดน้อยลง และอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของครัวเรือนโดยรวม

ทั้งนี้ พบว่าประชากรที่มีระดับการศึกษาต่ำมีปัญหาความยากจนมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ได้เรียนหนังสือมีสัดส่วนคนจนสูงถึงร้อยละ 14.21 แต่เมื่อระดับการศึกษาสูงขึ้น สัดส่วนคนจนมีแนวโน้มลดลง โดยกลุ่มที่มีระดับการศึกษาตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นไป มีสัดส่วนคนจนต่ำกว่าร้อยละ 3.00 สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ระดับการศึกษาที่สูงขึ้นมีบทบาทสำคัญต่อการลดความยากจน 

ด้านสถานภาพทางเศรษฐกิจและการทำงานของคนจน พบว่าครัวเรือนยากจนมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 7,938 บาท คิดเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อเดือนที่ 2,375 บาท โดยส่วนใหญ่เป็นค่าอาหารและเครื่องดื่ม (ร้อยละ 51.30) รองลงมาคือค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัย (ร้อยละ 16.86) และค่าเดินทางและการสื่อสาร (ร้อยละ 13.16) 

แม้ว่าสัดส่วนค่าใช้จ่ายในแต่ละประเภทอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามบริบททางเศรษฐกิจ แต่โครงสร้างค่าใช้จ่ายหลักยังคงสอดคล้องกับอดีต ซึ่งสะท้อนถึงวิถีชีวิตของครัวเรือนยากจนที่เน้นความจำเป็นพื้นฐาน ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย และการเดินทางเพื่อประกอบอาชีพหรือเข้าถึงบริการจำเป็น ตลอดจนการสื่อสารเพื่อรับข้อมูลข่าวสารและโอกาสทางเศรษฐกิจ

ขณะที่สถานการณ์หนี้สินของครัวเรือนยากจนในปี 2567 ยังคงมีความท้าทายที่น่าเป็นห่วง โดยสัดส่วนครัวเรือนยากจนที่มีหนี้สินยังคงอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา คือร้อยละ 39.10 ของครัวเรือนยากจนทั้งหมด แม้ว่าจะลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 39.73 ในปีก่อนหน้า แต่เมื่อพิจารณาร่วมกับจำนวนครัวเรือนยากจน ที่เพิ่มขึ้นจึงทำให้จำนวนครัวเรือนยากจนที่มีหนี้สินเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

โดยพบว่าภาระหนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการกู้ยืมเพื่อการอุปโภคบริโภคในครัวเรือน (ร้อยละ 48.77) รวมถึงการซื้อสินค้าและบริการในลักษณะผ่อนชำระ ซึ่งสะท้อนถึงข้อจำกัดด้านรายได้ที่ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวันทำให้ครัวเรือนยากจนต้องพึ่งพาเงินกู้เพื่อการดำรงชีพ 

สถานการณ์ความยากจนของประเทศไทยสะท้อนถึงความเปราะบางเชิงโครงสร้างในหลายมิติ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยเฉพาะความเปราะบางทางเศรษฐกิจของครัวเรือนยากจน  โดยในมุมมองของนักวิชการ "ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์" ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความเห็นว่า การแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องรีบทำ โดยเฉพาะการดูแลกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มที่อยู่ใต้เส้นความยากจน เพราะท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่แย่ลง คนที่เดือนร้อนคนแรกคือ คนจน 



ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง