รีเซต

สำรวจ “แรงงานคืนถิ่น” โอกาสเศรษฐกิจฐานราก

สำรวจ “แรงงานคืนถิ่น” โอกาสเศรษฐกิจฐานราก
TNN ช่อง16
8 ธันวาคม 2568 ( 11:03 )
13

“แรงงาน” ถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก แต่ด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ ในพื้นที่ทำให้แรงงาน ไหลเข้าสู่เมือง  ดังนั้นเพื่อศึกษาสาเหตุของการย้ายถิ่นฐานออกจากภูมิลำเนา ข้อจำกัดในการย้ายกลับ และปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการย้ายกลับไปพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง ซึ่งจะเป็นโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ จึงร่วมกับบริษัทศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ จำกัด (SAB) ทำการสำรวจ แรงจูงใจและปัจจัยที่ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายแรงงานกลับไปยังภูมิลำเนา และสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้แรงงานคืนถิ่นสามารถยกระดับเศรษฐกิจฐานราก

โดยกำหนดกลุ่มประชากร เป้าหมาย คือ คนทำงานตอนต้น (อายุ 20 – 35 ปี) ที่จบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ขึ้นไป ที่ย้ายเข้าไปทำงานในจังหวัดเศรษฐกิจของภูมิภาคต่าง ๆ ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น และสงขลา จำนวน 2,563 ตัวอย่าง

  

โดยผลการสำรวจพบว่าสาเหตุที่ทำให้คนทำงานตอนต้น  ย้ายมาจังหวัดเศรษฐกิจมักเกี่ยวกับเรื่องงาน โดยส่วนใหญ่ (ร้อยละ 60.5) ย้ายมาเพื่อทำงาน ซึ่งกว่าครึ่ง (ร้อยละ 50.7) ได้มีการวางแผนไว้ตั้งแต่กำลังศึกษา ขณะเดียวกัน กลุ่มตัวอย่างอีกร้อยละ 21.5 เริ่มต้นจากการย้ายมาเพื่อศึกษาต่อ และเกือบทั้งหมดของกลุ่มนี้ (ร้อยละ 91.9) เลือกที่จะทำงานต่อในจังหวัดที่ย้ายเข้ามาเรียน 

โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ เลือกอยู่ต่อมาจากการมองเห็นโอกาสในจังหวัดเศรษฐกิจ และมีความเคยชินกับสภาพแวดล้อม/สังคม โดยร้อยละ 64.5 เห็นว่ามีเงินเดือน/สวัสดิการดีกว่า และร้อยละ 56.7 เห็นว่ามีความคุ้นเคยกับวิถีชีวิตที่นี่ 

สอดคล้องกับผลการสำรวจ เกี่ยวกับสาเหตุที่ย้ายเข้ามาทำงานในจังหวัดเศรษฐกิจ โดยกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 67.5 ย้ายมาทำงานที่นี่เพราะต้องการ มีเงินเดือน/สวัสดิการที่ดีขึ้น และร้อยละ 46.2 ต้องการการเติบโตในสายงาน 

ทั้งนี้ หากจำแนกตามลักษณะของอาชีพ  ได้แก่กลุ่มลูกจ้าง ได้แก่ ข้าราชการ/พนักงานราชการ/รัฐวิสาหกิจ และพนักงานบริษัท และ กลุ่มผู้ประกอบการอิสระ  ได้แก่ เกษตรกร ค้าขาย ทำธุรกิจส่วนตัว ทำอาชีพอิสระอื่น ๆ ประกอบวิชาชีพอิสระ และอื่น ๆ 

พบว่า ปัจจัยสำคัญอันดับแรกของกลุ่มลูกจ้าง คือ ด้านรายได้และสวัสดิการ รองลงมาเป็นด้านโอกาสเติบโต ในสายงาน ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ อันดับแรกเป็นด้านเศรษฐกิจ/กำลังซื้อ รองลงมาเป็นด้านคุณภาพชีวิต

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาแนวโน้มการย้ายกลับภูมิลำเนา พบว่า คนทำงานตอนต้นมีแนวโน้มจะย้ายกลับภูมิลำเนาไม่มาก และระยะเวลาในการย้ายกลับค่อนข้างนาน โดยกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 40.3 ระบุว่ายังไม่ได้ตัดสินใจ ว่าจะย้ายกลับหรือไม่ 

ขณะที่อีกร้อยละ 26.7 ตั้งใจจะตั้งถิ่นฐาน/อยู่ในจังหวัดเศรษฐกิจอย่างถาวร และอีกร้อยละ 33.0 หรือเพียง 1 ใน 3 ที่มีแนวโน้มย้ายกลับ ซึ่งในกลุ่มนี้ ร้อยละ 40.9 มีการกำหนดระยะเวลาที่จะย้ายกลับที่แน่นอน โดยเฉลี่ยประมาณ 10 ปี 

ทั้งนี้ เงื่อนไขการย้ายกลับภูมิลำเนาหากจำแนกกลุ่มอาชีพ พบว่า กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐส่วนใหญ่ (ร้อยละ 57.3) จะย้ายกลับเมื่อเกษียณ ขณะที่กลุ่มพนักงานเอกชนและผู้ประกอบอาชีพอิสระ จะย้ายกลับเมื่อมีเงินเก็บตามเป้าหมาย โดยมีสัดส่วนร้อยละ 78.1 และ ร้อยละ 75.3 ตามลำดับ

ขณะที่ อุปสรรคต่อการย้ายกลับภูมิลำเนา พบว่า 1. ความกังวลต่อการสูญเสียความมั่งคั่งและระดับคุณภาพชีวิต โดยกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 63.4 ไม่ต้องการสูญเสียรายได้หรือสวัสดิการที่มีอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มที่เคยทำงานในภูมิลำเนามาก่อน ร้อยละ 82.2 ที่มีรายได้ดีขึ้นหลังจากย้ายมาทำงานในจังหวัดเศรษฐกิจ และร้อยละ 72.9 ระบุว่ามีเหลือให้เก็บออม 

สำหรับกลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 53.8 ยังไม่กล้าเสี่ยงเปลี่ยนงานหรือเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ซึ่งในภาพรวมกลุ่มตัวอย่างค่อนข้างพึงพอใจกับงานที่ทำอยู่ โดยคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยอยู่ที่ 8.06 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน อีกทั้ง ร้อยละ 47.1 ยังประเมินว่างาน/ธุรกิจที่ทำในปัจจุบันมีความมั่นคงอยู่แล้ว 

นอกจากนี้ 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่าง หรือร้อยละ 34.9 ยังกลัวว่าคุณภาพชีวิตจะแย่ลงหากต้องย้ายกลับภูมิลำเนา ซึ่งกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ (ร้อยละ 73.0) มองว่า คุณภาพชีวิตในจังหวัดปัจจุบันดีกว่าภูมิลำเนา

2. การมีภาระต่าง ๆ อาทิ กลุ่มที่มีบ้านอยู่ในจังหวัดเศรษฐกิจ ทั้งที่เป็นเจ้าของเองและเป็นของครอบครัว มีแนวโน้มจะย้ายกลับภูมิลำเนาเพียงร้อยละ 13.9 ขณะที่กลุ่มที่ไม่มีบ้านเป็นของตัวเองสัดส่วนดังกล่าว เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 41.5 เช่นเดียวกับกลุ่มที่มีลูกอาศัยอยู่ด้วยในจังหวัดปัจจุบัน ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 41.2) รู้สึกเฉย ๆ กับการย้ายกลับไปทำงานที่ภูมิลำเนา และอีกร้อยละ 35.0 ไม่อยากกลับ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคำนึงถึงรายได้ ที่จะมาดูแลค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก รวมถึงคุณภาพชีวิตของลูก 

ขณะเดียวกัน การมีภาระทางการเงินทำให้ยังไม่สามารถกลับภูมิลำเนาได้ โดยกลุ่มที่ต้องส่งเงินกลับไปช่วยเหลือครอบครัวในภูมิลำเนายังต้องอยู่เพื่อทำงานหาเงิน ซึ่งมีระยะเวลาที่จะต้องทำงานในจังหวัดปัจจุบันอีกประมาณ 11.6 ปี ใกล้เคียงกับในกลุ่มที่มีภาระหนี้สินที่ต้องผ่อนชำระ ซึ่งมีระยะเวลาทำงานเฉลี่ย 11.4 ปี

3. ความผูกพันกับท้องถิ่นที่ลดลง โดยเมื่อแรงงานจากภูมิลำเนามานานจะส่งผลให้ยิ่งมีความผูกพันน้อยลง ซึ่งส่วนใหญ่มักมองว่าจังหวัดปัจจุบันเป็นบ้านมากกว่าภูมิลำเนาเดิม โดยเมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างระยะเวลาการอยู่อาศัยในจังหวัดเศรษฐกิจกับระดับความผูกพันกับภูมิลำเนา พบว่า กลุ่มที่ย้ายมาไม่เกิน 5 ปี มีระดับความผูกพันในระดับปานกลาง – มาก ในสัดส่วนกว่าร้อยละ 90.9

 

ขณะที่กลุ่มที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเศรษฐกิจ มานาน 21 – 25 ปี กว่าร้อยละ 87.5 มีความผูกพันในระดับน้อยถึงไม่ผูกพันเลย นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างบางส่วน ยังระบุว่า มีปัญหากับครอบครัวในภูมิลำเนา ทำให้ไม่อยากกลับไป รวมถึงบางกลุ่มกลัวต้องเผชิญกับทัศนคติเชิงลบ จากคนในภูมิลำเนาของตนเองรวมถึงการมีหนี้

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาปัจจัยที่จะจูงใจให้คนทำงานตอนต้นย้ายกลับไปทำงานในท้องถิ่น ผลสำรวจพบว่า สิ่งสำคัญคือการมีโครงสร้างและการสนับสนุนทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมที่ดีในการรองรับการ กลับบ้านเกิด โดยกลุ่มที่ประกอบอาชีพในลักษณะลูกจ้างส่วนใหญ่ร้อยละ 64.1 ต้องการสวัสดิการพิเศษจากองค์กรสำหรับการกลับไปทำงานในท้องถิ่น และร้อยละ 44.1 ต้องการให้มีธุรกิจ/มีงานรองรับ ขณะที่กลุ่มอาชีพอิสระต้องการเงินทุนสนับสนุน อาทิ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เงินสมทบในการทำธุรกิจ มากที่สุด ที่ร้อยละ 56.2 นอกจากนี้ ทั้งสองกลุ่มยังต้องการขนาดเศรษฐกิจที่ดีขึ้น 

 ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างบางกลุ่มยังต้องการ การสนับสนุนด้านองค์ความรู้เพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการลงทุนทำธุรกิจใหม่ในภูมิลำเนาหรือรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัว ที่เกือบ 1 ใน 3 ต้องการการฝึกอบรมทักษะ/ที่ปรึกษาแผนธุรกิจ 

ขณะเดียวกัน ในด้านคุณภาพชีวิตในภูมิลำเนา พบว่า กลุ่มตัวอย่างจำนวนไม่น้อย (ร้อยละ 27.0) ต้องการให้ระบบการศึกษาในภูมิลำเนามีคุณภาพทัดเทียมกับเมืองใหญ่ อีกทั้งร้อยละ 18.6 ยังต้องการให้มีระบบขนส่งมวลชนที่ทั่วถึง และร้อยละ 15.9 ให้ความสำคัญกับการมีประปา ไฟฟ้า และอินเทอร์เน็ตที่เสถียร ซึ่งหากภาครัฐสามารถยกระดับคุณภาพหรือเพิ่ม ประสิทธิภาพปัจจัยเหล่านั้นได้ จะมีผลจูงใจแรงงานกว่าร้อยละ 62.9 ให้กลับภูมิลำเนา

ข้อค้นพบข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า การทำให้แรงงานในภูมิลำเนามีส่วนในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ภาครัฐอาจต้องให้ความสำคัญกับการทำให้แรงงาน อยู่ในพื้นที่ตั้งแต่ต้น เพื่อเลี่ยงข้อจำกัดจากปัจจัยผูกมัดต่าง ๆ ของแรงงานหลังจากย้ายออกไปทำงานในจังหวัดเศรษฐกิจแล้ว โดยมีประเด็นสำคัญที่ต้องดำเนินการ ได้แก่

1. การพัฒนาโอกาสทางเศรษฐกิจในภูมิลำเนา ซึ่งต้องเร่งขยายผลนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของเมืองรอง รวมถึงส่งเสริมการลงทุนในภูมิภาคที่มีอยู่ให้เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของการลงทุนในจังหวัดเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานที่มีทักษะ เพื่อสร้างงานที่สามารถสร้างรายได้ที่ใกล้เคียงกับจังหวัดเศรษฐกิจมากขึ้น การเร่งพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจของภูมิภาคให้เป็นศูนย์กลางของการกระจายความเจริญไปสู่พื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งส่วนหนึ่งต้องมีการทบทวนแนวทางการพัฒนาให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศในปัจจุบัน และขับเคลื่อนให้ เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเร่งผลักดันให้มีการพัฒนาระบบขนส่งทางรางที่เชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคเพื่อรองรับ ระเบียงเศรษฐกิจในภูมิภาคต่าง ๆ

2. การสร้างแหล่งเงินทุน และการส่งเสริมความรู้/ทักษะในการประกอบอาชีพ ซึ่งมีความสำคัญ โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องการกลับไปเริ่มต้นธุรกิจใหม่หรือพัฒนาธุรกิจเดิมของครอบครัว โดยอาจพิจารณาให้มีโครงการ หรือกองทุนสำหรับผู้ที่ต้องการกลับไปสร้าง/พัฒนาธุรกิจในบ้านเกิด เพิ่มเติมจากแหล่งเงินทุนที่มีอยู่เดิม พร้อมกับ การพัฒนาหลักสูตรที่จำเป็นต่อการเป็นผู้ประกอบการที่เหมาะสมกับยุคสมัย และพัฒนาระบบพี่เลี้ยงให้สามารถ ดูแลและให้คำปรึกษาได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านแผนธุรกิจและการสนับสนุนให้นำองค์ความรู้กลับไปต่อยอด ในการประกอบอาชีพได้จริง

3. การยกระดับคุณภาพของระบบสาธารณูปโภค บริการการศึกษาและสาธารณสุขในพื้นที่ ซึ่งจะต้องพัฒนาคุณภาพและขยายความครอบคลุมให้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากจะมีผลต่อทัศนคติต่อคุณภาพชีวิต ในภูมิลำเนาของแรงงาน ทั้งการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน ไฟฟ้าและประปา และโครงข่ายสัญญาณอินเทอร์เน็ต รวมถึงการพัฒนาบริการด้านสุขภาพ และคุณภาพการศึกษา ที่จะช่วยจูงใจให้แรงงานที่มีลูกให้กลับมาทำงานและ ส่งลูกเรียนในภูมิลำเนา เพื่อให้เป็นแรงงานที่มีทักษะให้กับสถานประกอบการในพื้นที่

4. การส่งเสริมความผูกพันกับบ้านเกิดและสร้างเครือข่ายคนคืนถิ่นในพื้นที่ โดยอาจส่งเสริม ให้มีการจัดกิจกรรมในพื้นที่ที่ดึงเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงและความผูกพันกับ ภูมิลำเนา รวมถึงควรมีการรณรงค์การกลับบ้านอย่างภาคภูมิ เพื่อสร้างทัศนคติที่ดีในการกลับบ้านต่อทั้งตัวแรงงาน ครอบครัว และชุมชน ตลอดจนสนับสนุนให้มีการจัดตั้งเครือข่ายคนคืนถิ่นในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการคืนถิ่น ในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ รวมถึงโอกาสทางอาชีพ/ธุรกิจ เพื่อให้แรงงานเห็นหนทางในการกลับมาอยู่ที่บ้านเกิด


ข่าวที่เกี่ยวข้อง