"วัยเก๋า" ตกงานพุ่ง ท้าทายเศรษฐกิจสูงวัย

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานภาวะสังคมไตรมาส 3 ปี 2568 พบว่าสถานการณ์ตลาดแรงงานมีผู้ว่างงานในภาพรวมจำนวน 310,000 คน ลดลงร้อยละ 25.7 จากไตรมาสสาม ปี 2567 คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.76 ลดลงชัดเจนเมื่อเทียบกับร้อยละ 1.02 ของ ช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นอัตราการว่างงานต่ำสุดในรอบเกือบ 11 ปี หรือนับตั้งแต่ไตรมาสสี่ ปี 2557 ที่อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 0.61 ทั้งนี้ อัตราการว่างงานที่ลดลงเป็นการลดลงทั้งในกลุ่มผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อนร้อยละ 35.3 และผู้ว่างงานไม่เคยทำงานมาก่อนที่ และ 17.9 ตามลำดับ
ส่วนอัตราการว่างงานในระบบประกันสังคมไตรมาสสาม ปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 1.99 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสสามของ ปี 2567 ที่อยู่ที่ร้อยละ 1.82 โดยมีผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานทั้งสิ้น 240,000 คน โดยมีสาเหตุจากการสมัครใจลาออกในสัดส่วนร้อยละ 81.5 รองลงมาถูกเลิกจ้างร้อยละ 12.9 และสิ้นสุดสัญญาจ้างร้อยละ 5.6
แม้ว่าแนวโน้มผู้ว่างงานในภาพรวมจะลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่เมื่อจำแนกตามกลุ่มอายุพบว่า ผู้ว่างงานในกลุ่มผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มีอัตราการว่างงานร้อยละ 0.09 ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอายุอื่นๆ แต่มีอัตราการเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึงร้อยละ 30.1 จากช่วงเดียวันปีก่อน ขณะที่กลุ่มอายุอื่นๆ ปรับลดลง
ทั้งนี้ การว่างงานของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นต้องติดตามว่าระยะต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไทยที่เข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ (Complete Aged Society) นับเป็นความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม
โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2567 ระบุว่า ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ โดยไทยมีจำนวนประชากรผู้สูงอายุเกิน 60 ปีมากถึง 14.02 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด และมีแนวโน้มเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) หรือมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมด ภายในปี 2576
อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุดังกล่าวไม่เพียงเป็นความท้าทายเชิงนโยบาย แต่ยังเปิดโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า “เศรษฐกิจสูงวัย”(Silver Economy) ซึ่งผู้สูงอายุสามารถเป็นได้ทั้งผู้บริโภคที่มีความต้องการสินค้าและบริการ และผู้ผลิตที่นำเอาความรู้ประสบการณ์มาใช้ในการทำงาน
โดยข้อมูล จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) คาดว่า มูลค่าการใช้จ่ายของผู้สูงอายุจะเติบโตจาก 2.18 ล้านล้านบาท ในปี 2566 เป็น 3.50 ล้านล้านบาท ในปี 2576 โดยร้อยละ 67 เป็นมูลค่าเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นโอกาสให้ภาคธุรกิจสามารถสร้างแบบจำลองธุรกิจใหม่ ( New Business Model) ที่สร้างรายได้ควบคู่กับการแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุให้มีงานทำเพิ่มขึ้น โดยมีตัวอย่างธุรกิจในแต่ละด้านที่น่าสนใจดังนี้
ด้านการจ้างแรงงานสูงอายุ ที่ผ่านมาการจ้างงานผู้สูงอายุ มักเกิดขึ้นในกลุ่มงานพื้นฐานในโรงงานอุตสาหกรรม งานทำความสะอาด งานบริการโรงแรม และงานบริการและจำหน่ายสินค้าส่ง - ค้าปลีก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานที่ไม่ได้ใช้ทักษะสูง ขาดความยืดหยุ่น ไม่ใช่งาน ที่ผู้สูงอายุจะสามารถนำประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาต่อยอด และอาจไม่ตรงกับความต้องการหรือวิถีดำเนินชีวิต รวมถึงข้อจำกัดด้านอัตราตำแหน่งที่เปิดรับและระยะเวลาในการทำงาน
แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาธุรกิจที่จะช่วยสร้างความมั่นคงทางรายได้ให้แก่ผู้สูงวัยที่ยังคงมีศักยภาพ ที่ผู้สูงอายุสามารถเลือกงานและเวลาที่ต้องการทำงาน ได้อย่างยืดหยุ่น ช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง อาทิ แกร็บวัยเก๋า ภายใต้บริษัทแกร็บ (ประเทศไทย) จำกัด
ที่ได้ให้เล็งเห็นและสนับสนุนโอกาสการสร้างรายได้ พร้อมทั้งส่งเสริมคุณค่าของตัวเองในผู้สูงอายุที่ยังมีสุขภาพแข็งแรงสามารถทำงานได้ ด้วยการเป็นพาร์ทเนอร์คนขับรถยนต์เพื่อให้บริการรับ - ส่งผู้โดยสาร หรือจัดส่งอาหารหรือพัสดุบนแพลตฟอร์ม ซึ่งได้รับความร่วมมือจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ในการจัดอบรมทักษะการใช้แอปพลิเคชัน โดยในปี 2565 มีผู้สูงอายุสมัครเข้าร่วม 3,700 คน และเพิ่มเป็นกว่า 1 หมื่นคน ในปี 2567 และมีเป้าหมายที่จะขยายการดำเนินการและเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ สำหรับผู้ขับสูงวัยมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมี บริการเช่าลุง เช่ายาย ของ JoyLife ที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุผ่านการเชื่อมโยงกับคนรุ่นใหม่ โดยเปิดพื้นที่ให้บุคคลทั่วไปสามารถขอรับคำแนะนำ แลกเปลี่ยนมุมมองชีวิต หรือขอกำลังใจจากผู้สูงวัยที่มีประสบการณ์ชีวิตและมีทัศนคติเชิงบวก รวมถึงการทำกิจกรรมร่วมกัน อาทิ การทำบุญ การออกกำลังกาย อันเป็นการสร้างรายได้ควบคู่ไปกับการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมากยิ่งขึ้น
โดยในประเทศญี่ปุ่นมีธุรกิจในลักษณะเดียวกัน คือ การเช่าลุง (Ossan Rental)ที่ผู้สูงอายุบางคนสามารถสร้างรายได้มากกว่า 27,000 บาทต่อเดือน ซึ่งธุรกิจการจ้างงานผู้สูงอายุรูปแบบใหม่นี้ สะท้อนให้เห็นว่า การทำธุรกิจกับผู้สูงวัยไม่จำเป็นต้องผลิตสินค้าหรือบริการเพื่อตอบสนองผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังสามารถนำคุณค่าของผู้สูงอายุมาตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มอื่นในสังคมได้ด้วย
ด้านสุขภาพกายและบริการดูแล จากเดิมธุรกิจดูแลสุขภาพผู้สูงอายุมักเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสถานพยาบาลหรือธุรกิจส่งเสริมสุขภาพขนาดใหญ่ แต่จากปัญหาด้านสุขภาพ ภาระพึ่งพิง และการอยู่ลำพัง สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของ การดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุที่มีความใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการมีผู้ดูแลชั่วคราวที่เข้ามาตอบโจทย์การอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน
อาทิ Go MAMMA ในเครือข่าย Care Connect ที่เห็นถึงความลำบากในการเดินทางของผู้สูงอายุ ปัญหาลูกหลาน ไม่มีเวลาว่าง และผู้ให้บริการรถสาธารณะที่ยังขาดความเข้าใจ ในการช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุ จึงจัดให้มีบริการรถแท็กซี่สำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร ตั้งแต่รับจากบ้าน รอระหว่างทำธุระไปจนถึงส่งกลับ แก่ผู้สูงอายุที่ต้องการเดินทางไปพบแพทย์ ทำธุระส่วนตัว หรือเยี่ยมญาติ แต่ไม่สะดวกในการขับรถเอง หรือไม่มีผู้ดูแลร่วมเดินทาง โดยมีคนขับรถที่ผ่านการอบรมหลักสูตรช่วยชีวิต ( CPR) และจิตวิทยาเบื้องต้น ที่สามารถดูแลผู้โดยสารสูงวัยได้อย่างถูกต้องเหมาะสม โดยมีการรับส่งผู้สูงอายุแล้วกว่า 500 ราย และกว่า 5,000 เที่ยวเดินทาง
นอกจากนี้ บ้านตัดเล็บสุขภาพ ตลาดน้อย ที่ให้บริการดูแลสุขภาพเล็บโดยพยาบาลวิชาชีพวัยเกษียณ เป็นผู้ให้บริการตัดเล็บตามหลักทางการแพทย์ เพื่อช่วยรักษาผู้สูงอายุที่มักประสบปัญหาเล็บงอก/งอผิดปกติ รวมถึง ผู้สูงอายุป่วยติดเตียงและเสี่ยงติดเชื้อที่ไม่สามารถตัดเล็บได้เอง อาทิ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ทานยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งได้รับความร่วมมือจากสำนักงานเขตในกรุงเทพฯ และกลุ่มพยาบาลจิตอาสา เพื่อส่งเสริมสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุในชุมชน
ขณะที่ด้านการส่งเสริมสุขภาพจิต ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักได้รับผลกระทบทางด้านจิตใจจากการขาดกิจกรรม หรือต้องอาศัยอย่างโดดเดี่ยว และขาดการมีส่วนร่วมต่าง ๆ ถึงแม้ว่าไทยจะมีธุรกิจด้านนันทนาการและบริการท่องเที่ยวอยู่มากมาย แต่การจัดกิจกรรมและโปรแกรมการท่องเที่ยว ที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุโดยเฉพาะนั้นยังมีอยู่ค่อนข้างจำกัด จึงเกิดธุรกิจด้านนันทนาการที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุ
อาทิ ทัวร์สูงวัย หัวใจ ฟรุ้งฟริ้ง โดยบริษัท ทัวร์ฟ้าใส จำกัด ที่ได้จัดโปรแกรมการท่องเที่ยวที่ออกแบบสำหรับผู้สูงวัย ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเน้นให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และการดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากข้อจำกัดด้านกายภาพ โดยจะมีทีมงานที่ผ่านหลักสูตรการปฐมพยาบาลประจำอย่างน้อย 2 คนต่อกลุ่ม คอยช่วยเหลือหากเกิดเหตุฉุกเฉิน ตลอดจนการรายงานสถานการณ์ระหว่างเดินทางแก่ครอบครัวผ่าน LINE อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจและลดความกังวล นอกจากนี้ ในโปรแกรมยังจัดกิจกรรมสันทนาการที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นให้ผู้สูงอายุได้สร้างความสัมพันธ์ ระหว่างเพื่อนวัยเดียวกัน
ขณะเดียวกัน ยังแฮปปี้ (YoungHappy) ยังเข้ามามีบทบาทส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี โดยการสร้างพื้นที่ให้ผู้สูงวัยได้เรียนรู้และมีส่วนร่วมทางสังคมด้วยการทำกิจกรรมร่วมกันทั้งในรูปแบบนอกสถานที่ และออนไลน์ อาทิ คลาสศิลปะ อบรมกายภาพบำบัด โดยมีทั้งที่เสียค่าใช้จ่ายและ ไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อให้ผู้สูงอายุที่มีข้อจำกัดด้านทุนทรัพย์สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกเข้าร่วมกว่า 6 หมื่นคน ครอบคลุม 74 จังหวัด และดำเนินกิจกรรมไปแล้วกว่า 800 รายการ
นอกจากนี้ ยังแฮปปี้ได้จัดโครงการ House to Homestay เปลี่ยนบ้าน สร้างรายได้ สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ที่สนใจอยากเป็นผู้ประกอบการโฮมสเตย์ ได้เรียนรู้วิธีการปรับปรุง บ้านเพื่อรองรับผู้เข้าพัก การให้บริการและพัฒนาการบริหาร จัดการ การเข้าถึงแหล่งทุน ทักษะความรู้ทางด้านการเงิน ตลอดจนขั้นตอนการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ให้สามารถเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นแหล่งสร้างรายได้ ซึ่งปัจจุบันมีผู้สูงอายุจำนวนมากที่เป็นผู้ประกอบการโฮมสเตย์ที่บริการทั้งที่พัก การนำเที่ยว การถ่ายทอด เรื่องราว/วัฒนธรรมท้องถิ่น และกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจใกล้ชิดธรรมชาติสำหรับทุกกลุ่มวัยกระจายอยู่หลายจังหวัด
อาทิ ลุงชวนป้ารีโฮมสเตย์ จ.พะเยา ริมธารท้ายสวนลุงเติม จ.ราชบุรี สะหวันส าราญ จ.มุกดาหาร และโฮมสเตย์ลุงสนั่น บ้านปากประ จ.พัทลุง ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ นอกจากจะช่วย สร้างเสริมสุขภาพจิตและลดความรู้สึกโดดเดี่ยวของผู้สูงอายุได้แล้ว ยังช่วยให้เกิดการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม พร้อมกับการสร้างรายได้เพิ่มเติมให้แก่ผู้สูงอายุได้อีกทางหนึ่งด้วย
สภาพัฒน์ระบุว่า จากตัวอย่างข้างต้น สะท้อนถึง โอกาสทางธุรกิจที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุที่ไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ ซึ่งควรมีกลไกสนับสนุนการขับเคลื่อนและยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจสูงวัยของไทย ได้แก่ การจัดทำยุทธศาสตร์ ด้านเศรษฐกิจสูงวัยที่ชัดเจน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ( growth engine)
รวมทั้งกำหนดหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน อาทิ กรมกิจการผู้สูงอายุที่เป็นหน่วยงานสำคัญที่มีบทบาท ทั้งการส่งเสริม สนับสนุน และประสานความร่วมมือกับองค์กรเครือข่ายทุกภาคส่วนในการดำเนินงานส่งเสริมและ พัฒนาศักยภาพ/คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ รวมถึงมีการบริหารจัดการกองทุนผู้สูงอายุ และยังมีศูนย์พัฒนา คุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) ในทุกภูมิภาคของประเทศไทย
ขณะเดียวกัน ต้องสร้างโอกาส และพัฒนาศักยภาพให้ผู้สูงอายุคงอยู่ในตลาดแรงงาน โดยส่งเสริมการฝึกอบรม reskill upskill newskill ในทักษะที่จำเป็นและเป็นที่ต้องการของตลาดตั้งแต่ก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ การสร้างอาชีพจากความเชี่ยวชาญและภูมิปัญญาของผู้สูงอายุ การสร้างกลไกสนับสนุนการทำงานเพื่อให้ผู้สูงอายุเข้าถึงตลาดงานและสามารถพัฒนาเป็นกำลังแรงงานได้ตลอดช่วงชีวิต ตลอดจนการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและระบบสนับสนุนที่จำเป็น สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจเป็นผู้ประกอบการสูงวัย (Olderpreneur)
รวมถึงพัฒนาฐานข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งข้อมูล สินค้าและบริการสำหรับผู้สูงอายุที่มีอยู่ในระบบเพื่อเผยแพร่และสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชน รวมถึงข้อมูล การวิจัย และพัฒนาที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงตามความต้องการของตลาด ทั้งนี้ การดำเนินการต่าง ๆ เหล่านี้ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เพื่อต่อยอดให้เศรษฐกิจสูงวัยสามารถ เติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
