สภาพัฒน์เฝ้าระวัง 4 ประเด็น ห่วงคนตกงานเพิ่ม

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ด้านสถานการณ์แรงงานไทยพบว่า สถานการณ์การจ้างงานทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยผู้มีงานทำมีจำนวน 39.5 ล้านคน เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปี 2567 เล็กน้อยที่ร้อยละ 0.02 โดยเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส จากการจ้างงานในสาขานอกภาคเกษตรกรรมที่ขยายตัวร้อยละ 0.4 ( มีจำนวนแรงงาน 28.6 ล้านคน ) ซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 13
โดยสาขาการขนส่งและจัดเก็บสินค้าขยายตัวสูงที่สุดที่ร้อยละ 7.9 รองลงมาเป็นสาขาโรงแรมและภัตตาคาร ที่ยังขยายตัวได้ที่ร้อยละ 3.1 ขณะที่สาขาการผลิต การจ้างงานฟื้นตัวขึ้น เล็กน้อย โดยขยายตัวร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนสาขาการก่อสร้าง และสาขาการค้าปลีก/ค้าส่ง หดตัวลงที่ร้อยละ 3.7 และ 1.2 ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน การจ้างงานภาคเกษตรกรรมหดตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 0.9 ( มีจำนวนแรงงาน 10.9 ล้านคน) ปรับลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 โดยลดลงมาก ในพื้นที่ภาคเหนือ ที่ได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักและอุทกภัยมาตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของปีนี้
สำหรับจำนวนผู้ว่างงานในไตรมาส 2 ปี 2568 มีจำนวนประมาณ 370,000 คน ลดลงร้อยละ 14.8 จากไตรมาสสองของปี 2567 และคิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.91 โดยผู้ว่างงานลดลงมากในกลุ่มอาชีวศึกษาและกลุ่มวิชาชีพขั้นสูง ขณะที่ผู้ว่างงานในระดับอุดมศึกษาลดลงเล็กน้อย แต่ยังเป็น กลุ่มที่มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 1.99 หรือราว 141,000 คน
ขณะที่ ผู้เสมือนว่างงาน หรือผู้ที่ทำงาน 0 – 20 ชั่วโมง/สัปดาห์ ในภาคเกษตรกรรม และผู้ที่ทำงาน 0 – 24 ชั่วโมง/สัปดาห์ นอกภาคเกษตรกรรม มีจำนวน 2.1 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 5.2 แต่ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยผู้เสมือนว่างงานร้อยละ 60.9 เป็นแรงงานในภาคเกษตรกรรม และ 1 ใน 4 เป็นแรงงานผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ซึ่งมีความสามารถในการทำงานได้อย่างจำกัด
สำหรับในระยะต่อไป เลขาธิการสภาพัฒน์ระบุว่ามี 4 ประเด็นด้านแรงงานที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่
1. ผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาต่อการจ้างงาน โดยสหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของสินค้าไทย โดยมูลค่าการส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐฯ ในไตรมาส 2 ปี 2568 ในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.6 ซึ่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น โดยสินค้าที่สำคัญ อาทิ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ กลุ่มยางและผลิตภัณฑ์ยาง กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน กลุ่มอาหารทะเล แปรรูป
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ได้ดำเนินมาตรการทางภาษีการค้าระหว่างประเทศ โดยได้มีการเรียกเก็บภาษีหลาย รูปแบบ ทั้งการจัดเก็บภาษีเฉพาะในสินค้าบางรายการ (Specific Tariffs) อาทิ เหล็กและอลูมิเนียม และทองแดงที่อัตราภาษีร้อยละ 50 รถยนต์ เครื่องยนต์ และชิ้นส่วน ที่ร้อยละ 25 การกำหนดภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs ซึ่งประเทศไทยถูกจัดเก็บที่ร้อยละ 19 รวมทั้งยังมีมาตรการในการป้องกันการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า Rule of Origin ซึ่งหากไม่เป็นไปตามเงื่อนไข สินค้านั้นอาจถูกจัดเก็บภาษีสูงถึงร้อยละ 40 นอกจากนี้ ไทยยังต้องปรับภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ กว่าหมื่นรายการเป็นร้อยละ 0 โดยเฉพาะสินค้าเกษตร
"มาตรการดังกล่าวอาจส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้ยากขึ้น และอาจต้องมีการปรับโครงสร้างองค์กร อาทิ การลดจำนวนพนักงาน เพื่อลดต้นทุนการผลิต หรือมีรายได้ลดลงจากการปรับลดเวลาการทำงาน ลด/ตัดโอที ตามการปรับลดกำลังการผลิต" เลขาธิการสภาพัฒน์กล่าวและว่า อย่างไรก็ดี ภาครัฐควรสนับสนุนการขยายการเปิดตลาดใหม่ของกลุ่มสินค้าดังกล่าว รวมทั้งหามาตรการในการปกป้องสินค้าไทย
โดยอาจกำหนดเงื่อนไขในการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ สนับสนุนการใช้สินค้าไทย เพื่อให้สินค้าไทยยังแข่งขันได้ และผู้ประกอบการยังสามารถรักษากำลังการผลิตและรักษาระดับการจ้างงานแรงงานไว้ได้ นอกจากนี้ ควรตรวจสอบ สินค้าที่มีการสวมสิทธิ์และลดการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อไม่ให้กลายเป็นเงื่อนไขในการเพิ่มภาษีการค้า
2. การปรับรูปแบบการจ้างงานของสถานประกอบการจากสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน โดยผลการสำรวจของ Jobsdb (Hiring,Compensation & Benefits Report 2025) พบว่า ในปี 2567 ร้อยละ 25 ขององค์กรในไทย มีแนวโน้มจะลดพนักงานลงเพื่อลดต้นทุนและปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งส่วนมากเป็นการลดการจ้างงานพนักงานประจำเต็มเวลา Permanent full-time และหันไปใช้รูปแบบการจ้างงานแบบพนักงานประจำไม่เต็มเวลา (Permanent part-time) รวมถึงพนักงานสัญญาจ้าง/พนักงานชั่วคราวไม่เต็มเวลา (Contractual temporary part-time) มากขึ้น
โดยมีทิศทางเช่นเดียวกันในองค์กรทุกขนาด โดยเฉพาะขนาดใหญ่ที่มีสัดส่วนของพนักงานประจำไม่เต็มเวลาเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6 ในปี 2565 เป็นร้อยละ 42 ในปี 2567 เช่นเดียวกับสัดส่วนของพนักงานสัญญาจ้าง/พนักงานชั่วคราวไม่เต็มเวลาที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4 เป็นร้อยละ 28 ในช่วงเวลาเดียวกัน
"ดังนั้น ในปี 2568 ที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง อาจส่งผลให้สถานประกอบการเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานมากขึ้นอีก เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวอาจกระทบต่อความมั่นคงในการทำงาน และระดับรายได้ที่อาจไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ รวมทั้งแรงงานอาจไม่ได้รับสิทธิตามกฎหมายอย่างครบถ้วน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจต้องมีการตรวจสอบการจ่ายค่าจ้าง รวมถึงการให้สวัสดิการต่าง ๆ ของสถานประกอบการให้เป็นไปตามกฎหมาย" นายดนุชากล่าว
3. การขาดแคลนแรงงานต่างด้าว จากสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีแรงงานต่างด้าว 388,051 (ข้อมูล ณ 7 สิงหาคม 2568) คนไม่มาต่ออายุใบอนุญาตทำงานหรือดำเนินการไม่ครบถ้วน แบ่งเป็นแรงงานเมียนมา 194,000 คน กัมพูชา 98,500 คน ลาว 91,500 คน และเวียดนาม 3,570 คน
ประกอบกับการที่รัฐบาลกัมพูชาดำเนินมาตรการเชิงบังคับในการดึงแรงงานกลับประเทศ ซึ่งอาจกระทบต่อภาคการก่อสร้าง และภาคการผลิต ซึ่งมีสัดส่วนของแรงงานกัมพูชาต่อแรงงานต่างด้าว 4 สัญชาติ (เมียนมา กัมพูชา ลาว และเวียดนาม) ที่ร้อยละ 22.1 และ 35.3 ตามลำดับ อีกทั้ง ภาคเกษตรกรรม มีสัดส่วนแรงงานกัมพูชาร้อยละ 31.0 ซึ่ง 1 ใน 3 เป็นแรงงานที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานแบบเช้าไปเย็นกลับ ซึ่งมีโอกาสจะกลับประเทศมากกว่า
ทั้งนี้ แรงงานกัมพูชาในประเทศไทยที่ได้รับอนุญาตทำงาน จากข้อมูลของกรมการจัดหางาน ณ กรกฎาคม 2568 ระบุว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 520,000 คน มากเป็นอันสองรองจากเมียนมาที่มีจำนวน 2.9 ล้านคน
"สถานการณ์ข้างต้นอาจทำให้สถานประกอบการไทยมีความเสี่ยงที่จะขาดแคลนแรงงาน แต่น่าจะมีผลกระทบชั่วคราว และโดยรวมไม่น่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากนัก เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลมีมาตรการนำเข้าแรงงาน ต่างด้าวเพื่อมาทดแทนในอุตสาหกรรมที่ขาดแคลน โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบอนุมัติบันทึกความร่วมมือ ในการจัดหาแรงงานศรีลังกาเพิ่มเติม รวมถึงแรงงานสัญชาติอื่น ๆ อาทิ เนปาล ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย" เลขาธิการสภาพัฒน์กล่าว
4. การเกิดอันตรายจากการทำงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากข้อมูลของสำนักงานประกันสังคม พบว่าอัตราการประสบอันตรายจากการทำงานต่อลูกจ้าง 1,000 ราย เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 จากร้อยละ 6.55 เป็นร้อยละ 7.23 ในปี 2567 หรือมีจำนวนการประสบอันตรายทั้งสิ้น 87,728 ราย โดยอันตรายส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับแรงงานในสถานประกอบการขนาดใหญ่ที่มีลูกจ้างมากกว่า 1,000 คน และมักจะเกิดขึ้นกับกลุ่มอาชีพงานพื้นฐานทั้งงานบริการทั่วไป เกษตร/ประมง ก่อสร้าง การผลิตและขนส่ง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้เสียชีวิตและผู้ที่สูญเสียอวัยวะจะมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับการเกิดอันตรายและการเจ็บป่วยทั้งหมด แต่ในปี 2567 มีจำนวนถึง 595 และ 925 คนตามลำดับ อีกทั้ง ยังมีผู้ที่ทุพพลภาพอีก 16 คน ซึ่งอันตรายนี้จัดเป็นกรณีร้ายแรงและมีผลกระทบต่อแรงงาน รวมถึงครอบครัวของแรงงานในระยะยาว
โดยงานวิจัยของมหาวิทยาลัยศิลปากร พบว่า การสูญเสียนิ้ว มือ หรือแขนจากอุบัติเหตุทำให้แรงงานมีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่แย่กว่าเดิม จากการสูญเสียสมรรถนะในการทำงาน ซึ่งจะส่งผลต่อความก้าวหน้าในอาชีพ อีกทั้ง ยังเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการสะสมทุนในอนาคต รวมถึงเกิดผลกระทบทางด้านจิตใจจากความอับอายและโดนสังคมดูถูก ซึ่งเงินทดแทนที่ได้รับอาจไม่สามารถชดเชยผลกระทบได้อย่างครอบคลุม
"สถานประกอบการจึงควรมีการประเมินความเสี่ยง รวมถึงตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ เครื่องมือ หรือ เครื่องจักรอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนอบรมพนักงานทุกระดับเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน และอาจต้องพิจารณาการชดเชยให้พนักงานโดยคำนึงถึงค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจในระยะยาวของพนักงาน" นายดนุชากล่าว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
