รีเซต

"คนไทย" ยากจนมากขึ้น รุนแรงขึ้น พุ่ง 3,400,000 คน ความเหลื่อมล้ำสูงกว่าหลายชาติอาเซียน

"คนไทย" ยากจนมากขึ้น รุนแรงขึ้น พุ่ง 3,400,000 คน ความเหลื่อมล้ำสูงกว่าหลายชาติอาเซียน
TNN ช่อง16
24 กันยายน 2568 ( 08:00 )
12

"คนจน" 3,400,000 คน เหลื่อมล้ำชัดเจน ความเสี่ยงประเทศไทย


คุณ คือ คนจนหรือเปล่า?  ถ้าหากรายได้ ถ้าต่ำกว่า 3,078 บาทต่อเดือน เรียกว่า คนจน วันนี้ประเทศไทยมีคนจนอยู่ทั้งหมด 3 ล้าน 4 แสนคน พุ่งขึ้นจากปีก่อน และมีคนที่เรียกว่า "จนมาก" อยู่อีกมากกว่า 8 แสนคน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้เพียงแค่ 600 กว่าบาทต่อเดือน แต่หลายคนบอกว่าเราก็เงินเยอะกว่านั้นนะ แต่ทำไมยังรู้สึกว่าตัวเองจน อาจจะเป็นเพราะความเหลื่อมล้ำที่มีมากในประเทศไทย 


 

ข้อมูลล่าสุดจากการทางสภาพัฒน์ หรือ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เผยแพร่รายงานการวิเคราะห์ "สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำ" ในประเทศไทย ประจำปี 2567 โดยพบว่า ในปี 2567 ประเทศไทยมีคนจนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขึ้นมาเป็น 3.43 ล้านคน หรือคิดเป็น 4.89% ของประชากรทั้งประเทศ มากกว่าปี 2566 ที่มีสัดส่วนอยู่เพียงแค่ 3.41% 


และถ้าหากเราคิดเป็นครัวเรือนที่ยากจนก็ทะลุหลักล้านไปแล้ว คือ  1 ล้าน 3 หมื่นกว่าครัวเรือน ซึ่งเมื่อปี 2566 ยังมีอยู่เพียงแค่ 6 แสน 8 หมื่น 6 พันครัวเรือน เท่านั้น


ขณะที่ "เส้นความยากจน" หรือค่าใช้จ่ายขั้นต่ำที่คนไทยต้องใช้ในการดำรงชีพนั้นก็ถีบตัวสูงขึ้น จากปี 2566 อยู่ที่ 3,043 บาทต่อคนต่อเดือน ตอนนี้ขึ้นมาเป็น 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน 


ที่สำคัญ นอกจากประเทศไทยของเราจะมีคนจนเพิ่มมากขึ้นแล้ว ระดับความรุนแรงของความยากจนก็สาหัสมากขึ้นด้วย เช่น จากแค่จนเฉยๆ ก็กลายเป็นจนมาก โดยมีการวัดระดับความยากจน อยู่ทั้งหมด 3 ระดับ คือ คนจนมาก คนจนน้อย และคนเกือบจน 


ข้อมูลจากสภาพัฒน์ ระบุว่า ล่าสุด  มีกลุ่ม"คนจนมาก" อยู่ถึง  879,000 คน พุ่งขึ้นมาจากปีก่อนที่ระดับ 628,000 คน ซึ่งกลุ่มคนจนมากนั้นมีรายได้เพียงแค่ประมาณ 615 บาทต่อคนต่อเดือนเท่านั้น 


ขณะที่กลุ่ม "คนจนน้อย" ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน จากปีก่อนอยู่ที่ 1,760,000 ล้านคน พุ่งขึ้นมาเป็น 2,550,000 คน


ส่วนกลุ่ม "คนเกือบจน" หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะตกอยู่ในภาวะยากจน ก็ใช่ว่าจะหดตัวลง ปรากฎว่าเพิ่มขึ้นมา จากเดิมอยู่ที่ 3,970,000 ล้านคน ในปี 2566 ก็ขึ้นมาเป็น 4,290,000 ล้านคน ในปี 2567


นอกจากนี้ความยากจนก็มากน้อยไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่ ต่างจังหวัดพื้นที่ห่างไกลมีความเสี่ยงมากที่สุด และประชากรนอกเขตเทศบาลเผชิญกับภาวะยากจนสูงกว่าประชากรในเขตเทศบาลอย่างชัดเจน


จากรายงานระบุว่า ในปี 2567 ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ยังคงครองแชมป์เป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนประชากรยากจนสูงที่สุดของประเทศ โดยภาคอิสานเป็นภาคมีจำนวนคนจนสูงสุด อยู่ที่ประมาณ 1,190,000 ล้านคน หรือคิดเป็น 34.63% ของคนจนทั้งประเทศ 


ข้อมูลคนยากจนรายจังหวัด พบว่าจังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดปัตตานีอยู่ใน 5 อันดับแรกของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดต่อเนื่องกันอย่างน้อย 15 ปี สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความยากจนเรื้อรังในจังหวัดที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้


ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญของความยากจน คือ ข้อจำกัดเชิงโครงสร้างด้านเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละพื้นที่ รวมถึงผลกระทบอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ

เพราะความจน และไม่จน เปลี่ยนแปลงได้ แต่หากยังมีความเหลื่อมล้ำ การเข้าไม่ถึงทรัพยากร ก็ทำให้คนที่จนอยู่แล้วจนลงไปอีก ไม่มีทางลืมตาอ้าปาก


ปีที่ผ่านมาแรงงานในภาคเกษตรมีจำนวนคนจนเพิ่มขึ้นมากที่สุด คิดเป็น 45.49% ของคนจนทั้งหมด สะท้อนความเปราะบางเชิงโครงสร้างของภาคเกษตรที่ต้องพึ่งพารายได้จากการผลิต ซึ่งมีความผันผวนสูงตามสภาพอากาศและราคาสินค้าเกษตรที่ไม่แน่นอน


นอกจากนี้สิ่งที่แตกต่างระหว่างคนจน กับคนรวย ก็ยังมีเรื่องของภาระที่แบกไว้ โดยเฉพาะหนี้สินที่มีมากถึง 39% และส่วนใหญ่เกินครึ่งหรือ 55% เป็นหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค 


รวมไปถึงภาระในการดูแลคนข้างหลัง ข้อมูลพบว่าบ้านที่ยากจนมีการแบกรับภาระในการดูแลคนครอบครัวมากกว่าคนทั่วไป ลองนึกภาพตามเมื่อคนที่เป็นเสาหลักเป็นวัยแรงงานต้องแบ่งเวลาในการทำงาน มานั่งดูแลหรือแบ่งเงินให้กับเด็กและผู้สูงอายุในบ้าน หมายความว่าโอกาสในการสร้างรายได้หรือตั้งตัวก็ลดลง ทำโอทีไม่ได้ หรือต่อให้ขายของทำธุรกิจ ก็ทำไม่ได้เต็มที่อย่างที่ใจต้องการ 


อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ในการยกระดับชีวิต คือ ปัจจัยด้าน "การศึกษา" ซึ่งพบว่าการศึกษาและความยากจนเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน


ยิ่งเรียนหนังสือน้อย ยิ่งเรียนไม่สูงยิ่งเจอกับปัญหาความยากจน โดยกลุ่มคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุด คิดเป็น 14.21% แต่เมื่อระดับการศึกษาสูงขึ้น สัดส่วนคนจนจะลดลงไป


ที่สำคัญ คือ เด็กยากจนยังคงประสบปัญหาในการเข้าถึงการศึกษาระดับสูง  โดยปัญหาหลักที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คือ ค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง สะท้อนถึงปัญหาโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมและระบบขนส่งสาธารณะที่ยังไม่เอื้อต่อการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม


เพราะการศึกษาต้องใช้เงิน ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา โดยครัวเรือนที่มีฐานะสูงสุดมีค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาเฉลี่ยสูงกว่าครัวเรือนที่มีฐานะต่ำสุด มากถึง 8.16 เท่า 



นอกจากนี้ยังมีข้อมูลน่าสนใจ เพราะชี้ให้ว่าเห็นว่ามีการใช้เงินที่แตกต่างกันระหว่างกลุ่มประชากร โดยค่าใช้จ่ายของคนไทยกลุ่มฐานรากส่วนใหญ่หมดไปกับอาหารและเครื่องดื่ม ในขณะที่กลุ่มระดับบน  มีแนวโน้มใช้จ่ายเงินไปกับสินค้าและบริการอื่นที่ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐาน เช่น การซื้อรถ ซื้อเทคโนโลยีการสื่อสาร เดินทางท่องเที่ยว ทำให้ชีวิตดีขึ้นได้อีก ต่อยอดชีวิตได้


ความเหลื่อมล้ำในไทยน่าห่วงกว่าที่คิด เพราะมีข้อมูลที่อ้างอิงจาก World Inequality Database ในช่วงปี 2554 - 2566 สะท้อนให้เห็นความเหลื่อมล้ำ ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในสองมิติหลัก ได้แก่ มิติแรกอัตราส่วนรายได้ของประชากรกลุ่มที่มีรายได้สูงสุดกับกลุ่มที่มีรายได้ต่ำสุดอหรือค่า Top 10ต่อ Bottom 50  ไทยอยู่ที่ 4.19 เท่า และมิติที่สอง ความไม่เสมอภาคด้านรายได้  ที่คำนวณจากข้อมูลรายได้ประชาชาติ หรือค่า Gini  ไทยมีค่าเฉลี่ยที่ 0.617  


โดยตัวเลขที่ออกมาเป็นการชี้ว่าประเทศไทยมีระดับความเหลื่อมล้ำอยู่ในเกณฑ์สูง เมื่อเอาไปเปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าไทย แต่กลับมีตัวเลขมิติความเหลื่อมล้ำที่ต่ำกว่า  หรือแม้กระทั่งมาเลเซีย ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงกว่าไทย กลับมีโครงสร้างการกระจายรายได้ที่สมดุลกว่า


สำหรับการแก้ไขปัญหาจึงต้องดำเนินควบคู่ไปกับการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะการพัฒนาระบบภาษีให้ครอบคลุมฐานความมั่งคั่งและทรัพย์สิน การทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจนอกระบบกลายเป็นทางการ และการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจผ่านการศึกษาและการจ้างงานที่มีคุณภาพ ซึ่งตอบสนองทั้งมิติของรายได้ ความมั่นคงในอาชีพ และคุณภาพชีวิตของแรงงาน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง