รีเซต

จับทิศทางหุ้น AOT หลัง "คิงเพาเวอร์" จ่อยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรี

จับทิศทางหุ้น AOT หลัง "คิงเพาเวอร์" จ่อยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรี
TNN ช่อง16
19 มิถุนายน 2568 ( 11:03 )
27

กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ หลัง บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด  (KPD)  ร่อนหนังสือถึง บมจ.ท่าอากาศยานไทยขอหารือแนวทางการยกเลิก สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานหลัก 5 แห่ง  ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานดอนเมือง, ท่าอากาศยานภูเก็ต, ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่

ทั้งนี้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายประการ โดยรายละเอียดในหนังสือของคิง เพาเวอร์ ได้ระบุถึง 7 ประเด็นสำคัญที่กระทบต่อธุรกิจ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม และส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบด้วย 

1.การยุติการดำเนินการร้านค้าปลอดภาษีขาเข้า ตามนโยบายภาครัฐ ทำให้สูญเสียโอกาสการสร้างรายได้ 

2.การลดภาษีสินค้าประเภทแอลกอฮอล์ ซึ่งทำให้ยอดขายสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง 

3.การขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการภายในอาคารผู้โดยสารของ ทอท. เพื่อปรับปรุงบริการผู้โดยสาร

4.มาตรการเชิงรุกของรัฐที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง 

5.สถานการณ์ภายในประเทศไทยที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาลดลง 

6.การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้จำนวนผู้โดยสารเป็นศูนย์ในช่วงที่ผ่านมา 

7.สถานการณ์สงคราม และความชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ และการเดินทางระหว่างประเทศ

โดยยืนยันว่า ปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นเหตุสุดพิสัย ที่ไม่เกิดจากการกระทำหรือความผิดของบริษัท   และการที่ทอท.ได้ยกเลิกมาตรการช่วยเหลือคู่ค้าทั้งหมดหลังโควิด โดยให้คิงเพาเวอร์กลับมาจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ  33-34% จากยอดขายไม่สามารถทำได้จากปัจจัยลบที่รุมเร้า ทำให้คิงเพาเวอร์ จึงต้องการขอยกเลิกการจ่ยผลตอบแทนขั้นต่ำมาเป็น การจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนจากรายได้ หรือ Revenue Sharing แทน

ทั้งนี้ คิง เพาเวอร์ ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องมาตั้งแต่เดือนส.ค.2567 เริ่มค้างจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนรัฐ และยื่นขอเลื่อนชำระ 5 สนามบิน ซึ่งทำให้มีหนี้ค้างจ่าย ทอท.ข้อมูล เดือนก.พ.2568 วงเงิน 4,000 ล้านบาท

ขณะที่ฐานะการเงินบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด พบว่า รายได้รวมปี 2566  อยู่ที่ 33,592 ล้านบาท  ขาดทุนสุทธิ 652 ล้านบาท ปี 2565 รายได้รวม 17,748 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,752 ล้านบาท ปี 2564 รายได้รวม 1,608 ล้านบาท ขาดทนสทธิ 2,814 ล้านบาท ปี 2563 รายได้รวม 8,119.04 ล้านบาท ขาดทุนสทธิ 1,833.18 ล้านบาท และปี 2562 รายได้รวม 38,554 ล้านบาท กำไรสุทธิ 757 ล้านบาท 

ด้านสินทรัพย์รวมปี 2566 อยู่ที่ 18,069 ล้านบาท ปี 2565 อยู่ที่ 12,257 ล้านบาท ปี 2564  อยู่ที่ 7,561 ล้านบาทปี 2563 อยู่ที่ 8,527 ล้านบาท และปี 2562 อยู่ที่ 10,360.89 ล้านบาท หนี้สินรวมปี 2566 อยู่ที่ 16,459 ล้านบาท ปี 2565 อยู่ที่ 8,490 ล้านบาท ปี 2564 อยู่ที่ 7,482  ล้านบาท ปี 2563 อยู่ที่ 6,333 ล้านบาท และปี 2562 อยู่ที่ 6,334 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นปี 2566 อยู่ที่ 1,610 ล้านบาท ปี 2565 อยู่ที่ 3,767 ล้านบาท ปี 2564 อยู่ที่ 79 ล้านบาท ปี 2563 อยู่ที่ 2,193.70 ลำนบาท และปี2562 อยู่ที่ 4,026.88 ล้านบาท

จากประเด็นดังกล่าวร้อนถึงบอร์ดทอท.ที่ประชุมเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีมติให้ทอท. เร่งตั้งคณะทำงานเพื่อกลั่นกรองแนวทางแก้ปัญหาการดำเนินกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานที่ ทอท. ดูแล พร้อมจ้างที่ปรึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เพื่อศึกษาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ AOT โดยเร็ว ทั้งประเด็นด้านกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การเงิน และการบริหารธุรกิจ เพื่อวิเคราะห์ข้อจำกัดของสัญญาเดิม รวมถึงเสนอแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย  คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 60 วัน หลังจากนั้นจะเสนอเรื่องให้บอร์ดพิจารณารายละเอียดและหาแนวทางแก้ปัญหาให้เหมาะสม

ขณะที่ผลการหารือระหว่างผู้บริหารทอท.และนายสมบัตร เดชาพานิชกุล รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เป็นตัวแทนเข้าร่วมหารือเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น  คิง เพาเวอร์ ยืนยันผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการดำเนินธุรกิจ สืบเนื่องจากปัจจัยภายนอกเหนือการควบคุม ทั้ง เศรษฐกิจโลก การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 สงคราม และการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่ลดลงจากคาดการณ์ของ ทอท.เมื่อครั้งการเปิดประมูลดิวตี้ฟรีในปี 2562 ทำให้ข้อเสนอผลประโยชน์ตอบแทนที่คิง เพาเวอร์ เคยเสนอไว้ ไม่ได้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเป็นต้นทุนที่แบกรับมาอย่างต่อเนื่องจึงต้องทำหนังสือถึง ทอท.ในการหารือแนวทางว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไร หรือหากจะต้องยกเลิกสัญญาจำเป็นต้องดำเนินการอย่างไร มีเงื่อนไขกำหนดในสัญญาไว้อย่างไรบ้าง  ดังนั้นทอท. จำเป็นต้องศึกษารายละเอียด ปริมาณผู้โดยสาร และอัตราผลตอบแทนใหม่ที่สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบัน และเจรจากับคิง เพาเวอร์อีกครั้ง

โดย AOT มีรายได้จาก King Power ในปี 67 ประมาณ 18,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 27% ของรายได้รวมแบ่งเป็น Duty Free สุวรรณภูมิ 11,000 ล้านบาท, พื้นที่เชิงพาณิชย์สุวรรณภูมิ 4,300 ล้านบาท, Duty Free สนามบินเชียงใหม่, หาดใหญ่, ภูเก็ต รวม 1,600 ล้านบาท และ Duty Free สนามบินดอนเมือง 1,500 ล้านบาท

ผู้ถือหุ้นของ AOT  10 อันดับแรกประกอบด้วย

 1. กระทรวงการคลัง                                                                        10,000,000,000  หุ้น สัดส่วน 70.00%

2. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด                                                               433,680,243 หุ้น  สัดส่วน  3.04%

3. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED                         299,228,867 หุ้น สัดส่วน  2.09%

4. สำนักงานประกันสังคม                                                                       196,115,520 หุ้น สัดส่วน 1.37%

5. กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง                                                                   180,583,600 หุ้น  สัดส่วน 1.26%

6. STATE STREET EUROPE LIMITED                                                     117,451,412 หุ้น  สัดส่วน 0.82%

7. ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จำกัด                                        94,806,500 หุ้น สัดส่วน  0.66%

8. สหกรณ์ออมทรัพย์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัด โดย บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด    58,783,000 หุ้น สัดส่วน 0.41%

9. สหกรณ์ออมทรัพย์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัด                        58,311,400 หุ้น สัดส่วน   0.41%

10. STATE STREET BANK AND TRUST COMPANY                                     48,716,432 หุ้น สัดส่วน   0.34%

  รายได้รวม

 ปี 2564                                              7,715.73     ล้านบาท

 ปี 2565                                            16,992.50    ล้านบาท

 ปี 2566                                            48,435.31   ล้านบาท

 ปี 2567                                             67,733.92  ล้านบาท

ปี 2568 ( 6 เดือน ณ 31 มี.ค.2568)     35,808.20  ล้านบาท

กำไรสุทธิ

ปี 2564                                              -16,322.01 ล้านบาท

ปี 2565                                             -11,087.87 ล้านบาท

ปี 2566                                                8,790.87 ล้านบาท

ปี 2567                                             19,182.39 ล้านบาท

ปี 2568 ( 6 เดือน ณ 31 มี.ค.2568)       10,397.57 ล้านบาท

มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด  

ปี 2564                                                871,427.70 ล้านบาท

ปี 2565                                            1,071,427.50 ล้านบาท

ปี 2566                                               853,570.58 ล้านบาท

ปี 2567                                              849,999.15 ล้านบาท

ปี 2568 ( 6 เดือน ณ 31 มี.ค.2568)       424,999.58 ล้านบาท


ย้อนราคาในอดีตสู่ปัจจุบัน ณ.18 มิ.ย. 2568

30 ธ.ค. 2564   ราคาอยู่ที่  61.00 บาท

30 ธ.ค. 2565  ราคาอยู่ที่  75.00 บาท

28 ธ.ค. 2566  ราคาอยู่ที่  59.75 บาท

30 ธ.ค. 2567 ราคาอยู่ที่  59.50 บาท

18 มิ.ย. 2568 ราคาอยู่ที่  28.00  บาท

 โดยประเด็นที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อหุ้น AOT มากน้อยแค่ไหน TNN Online ได้สัมภาษณ์กูรูตลาดทุนเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้างนั้น ตามไปส่องกันเลย

เริ่มจาก "ภาสกร  หวังวิวัฒน์เจริญ"  รองผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ฉายภาพว่า  ราคาหุ้น AOT  ตั้งแต่ม.ค.-17 มิ.ย.ติดลบ 52% ติดท้อป 1 ใน 3 หุ้นท่องเที่ยวที่แย่ที่สุด จากธุรกิจท่องเที่ยว  เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยลดลง ปัญหาเรื่องความไม่ปลอดภัย จากกระแสข่าวดาราจีน และเกิดแผ่นดินไหว ทำให้นักลงท่องเที่ยวเบนเข็มไปที่ตลาดคู่แข่งคือเวียดนามและญี่ปุ่นแทน โดยปีนี้คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยอยู่ที่ 34.5 ล้านคน ลดลง  3% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

สำหรับกรณีปัญหาระหว่างทอท.และคิงเพาเวอร์นั้น คงต้องรอผลการเจรจาสิ้นสุดก่อนว่าจะออกมารูปแบบใด แต่ยอมรับว่าร้านค้าปลอดภาษีทั่วโลกได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกซบเซา  ดังนั้นได้มีการประเมินว่า หากรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ในปี 69 ลดลงทุก 20% จะกระทบต่อกำไร 13% EPS จะอยู่ที่ 1.30 บาทต่อหุ้น  ส่งผลให้กำไรปี 69 ต่ำกว่าปี 68 ประมาณ 5%  มองสมมุติฐาน PE 20 เท่า (ขณะที่สนามบินทั่วโลก PE เฉลี่ยอยู่ที่ 18-21 เท่า ) ราคาหุ้นพื้นฐานอยู่ที่ 26 บาท  แต่หาก AOT มีการปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออกหรือ PSC  สมมุติฐานที่ PE  20 เท่า ราคาหุ้นจะอยู่ที่ 32 บาท

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนให้รอรับระดับราคาต่ำกว่า 25 บาท และถ้าสถานการณ์คลี่คลายและทุกอย่างเจรจาจบกันด้วยดีราคาหุ้นถ้าเกิน 32 บาทให้ขายทำกำไร

ฝั่ง “ดิษฐนพ วัธนเวคิน”  นักวิเคราะห์อาวุโส บล.กรุงศรี มองว่า จากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ราคาหุ้น AOT ถูกกดดันมาโดยตลอด  ซึ่งต้องรอผลการศึกษา 2 เดือนจากบริษัทที่ปรึกษาว่าผลสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร  และที่สำคัญต้องดูว่าหากยกเลิกสัญญากับคิงเพาเวอร์ และเปิดประมูลใหม่แนวทางทางไหนที่ทอท.ได้ประโยชน์มากกว่ากัน แต่เชื่อว่าการเปิดประมูลใหม่จะ ทำให้ผลตอบแทนลดลงจากสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม 

ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น แนะนำ  Neutral ราคาเป้าหมาย 31.25 บาท (DCF, WACC 7.3%)  ภายใต้สมมติฐาน Worst case ของค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ผู้ประกอบการ สามารถดำ เนินธุรกิจได้ในสภาวะการณ์ปัจจุบัน ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาทต่อปี หรือ 1 พันล้านบาทต่อเดือน (นับรวม 3 สัญญาดิวตี้ฟรี การบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์สนามบินสุวรรณภูมิ การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเที่ยวลดลง โดยเฉพาะชาวจีน)  จากผลตอบแทนเดิมอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาทต่อปี   อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าราคาหุ้น AOT ลดลงสะท้อนปัจจัยเสี่ยงข้างต้นแล้ว (หากทอท.และคิงเพาเวอร์ ตกลงผลประโยชน์ ตอบแทนใหม่สูงกว่าเราคาดจะเป็น Upside)และเราคาดเมื่อได้ข้อสรุปประเด็นข้างต้นจะช่วย ปลด Overhang ที่กดดันหุ้น AOT มาโดยตลอดในช่วงที่ผ่านมา

ขณะที่ "วทัญ จิตต์สมนึก" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย กล่าวว่า  ราคาหุ้น AOT ปรับตัวลงมาตั้งแต่ต้นปี 50-60% ตั้งแต่มีกระแสข่าวว่าคิงเพาเวอร์ขาดสภาพคล่องไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนให้กับ ทอท.ในอัตราเดิมได้ รวมถึงกระแสข่าวการขอยกเลิกดิวตี้ฟรี และล่าสุดบอร์ดทอท.ได้ตั้งที่ปรึกษาเพื่อหาทางออกในเรื่องนี้ภายใน 60 วัน ทำให้หุ้นมี Overhang  ซึ่งต้องรอดูก่อนว่าผลสรุปชัดเจนออกมาเป็นย่างไร ดังนั้นขอให้นักลงทุนชะลอการตัดสินใจการลงทุนออกไปก่อนจนกว่าจะมีความชัดเจน

ปิดท้ายที่ บล.หยวนต้า ระบุว่า ในช่วงรอผลการพิจารณา AOT ยืนยันจะเก็บรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์กับคิงเวอร์ ดิวตี้ฟรีหรือ  KPD ตามสัญญาในปัจจุบัน โดยยึดจาก Minimum Guarantee (MAG)ของแต่ละสนามบิน ไม่รับข้อเสนอ ส่วนแบ่งรายได้20% ตามที่ KPD เสนอ  โดย ปัจจุบันวงเงิน Bank Guarantee ที่มีอยู่แม้ถูกใช้เป็นหลักประกันของหนี้ที่ขอเลื่อนชำ าระไปแล้วบางส่วน แต่ยังเพียงพอ ครอบคลุมภาระหนี้ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเจรจา ช่วยลดความเสี่ยงในการตั้งสำารองในอนาคต

ดังนั้นได้ ปรับลดประมาณการปี 2024/25-2025/26 ลงปี ละ 7-20% ปัจจุบัน KPD จ่ายส่วนแบ่งผลประโยชน์รูปแบบจ่ายขั้นต่ำ หรือ MAG คิดเป็นสัดส่วนราว 33% ของ ยอดขาย หากเทียบกับข้อเสนอในการปรับไปจ่ายส่วนแบ่ง 20% ของยอดขาย จะท าให้AOT รับรู้รายได้ สัมปทาน Duty Free ลดลงปีละ 5.2 พันลบ. กระทบต่อกำไรปีละ 4.0 พันล้านบาท   (20% ฐานก าไรปี 2025/26)  ซึ่งได้ปรับลดกำไรปกติปี2024/25-2025/26 ลง 6-20% เป็น 1.7 หมื่นล้านบาท  (-15% YoY) และ 1.6 หมื่นล้านบาท  (-2% YoY) ตามลำดับ โดยหลักจากการปรับรายได้ค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อหัว (MAG) ของทั้ง KPD และ KPS ลดลงอีก 30%  จากเดิมตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2025 เป็นต้นไป

โดย สมมติฐานของเราสะท้อนว่ารายได้จากทั้งกลุ่มคิงเพาเวอร์ จะลดลงจากปี 2023/24 ที่1.8 หมื่นลบ มาอยู่ที่ระดับ 1.6 และ 1.4 หมื่นลบ. ในปี 2024/25-2025/26 ตามล าดับ ซึ่งระดับดังกล่าวจะใกล้เคียงสัมปทานเดิม ในช่วงปี 2018 และอยู่ในระดับการกับคิดเป็นส่วนแบ่งรายได้ 20% ของยอดขาย คาดเป็นตัวเลขที่คู่ค้า ยอมรับการปรับเงื่อนไขโดยไม่ต้องผิดสัญญาซึ่งอาจถูกฟ้องร้อง หรือตัดสิทธิในการเข้าร่วมประมูลใหม่ หุ้นมี Overhang รอจนกว่าการเจรจาจะคืบหน้า

ทั้งนี้คงคำแนะนำ “TRADING” ปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 อยู่ที่ 28.00 บาท แม้ราคาหุ้นปรับลง มารับความผิดหวังเพราะประเด็นดังกล่าวไปมาก แต่ไม่แนะนำรีบเข้าลงทุน เพราะหุ้นยังมี Overhang จนกว่าจะได้ผลการเจรจา ซึ่งเราประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่จะยืดเยื้อมากกว่า 60 วัน และในระหว่าง นั้นมีโอกาสถูกตลาดปรับลดประมาณการอย่างต่อเนื่อง ภาคการท่องเที่ยวยังไม่มีสัญญาณการกลับตัวที่ ชัดเจน ขณะที่ประเด็นบวกจากการปรับขึ้นค่า PSC คาดจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นต้องรอช่วง 4Q25

ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องชั่งน้ำหนักถึงผลดีและผลเสียที่เกิดขึ้น  เพราะการทำธุรกิจเปรียบเสมือนน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ไม่ใช่เอารัดเอาเปรียบจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป เชื่อว่าหากถอยคนละก้าวและหาทางออกที่ดีร่วมกันก็สามารถที่สานต่อธุรกิจให้เติบโตด้วยกันต่อไปได้ในอนาคต...

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง