ส่องดอกเบี้ยเงินกู้ MRR แบงก์ไหนต่ำสุด

ตั้งแต่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงครั้งแรกวันที่ 16 ตุลาคม 2567 จากร้อยละ 2.50 เป็นร้อยละ 2.25 และปรับลดครั้งที่สองวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.00 จากนั้นการประชุมกนง.วันที่ 30 เมษายน 2568 ก็ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกจากร้อยละ 2.0 เป็นร้อยละ 1.75 ล่าสุดวันที่ 13 สิงหาคม 2568 กนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 4 จากร้อยละ 1.75 เป็นร้อยละ 1.50
รวม กนง.ปรับอัตราดอกเบี้ยลง 4 ครั้ง ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้วร้อยละ 1.0 แต่ประสิทธิภาพการส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปสู่อัตราดอกกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ แต่ละครั้งมีความแตกต่างกัน
โดย "อัตราการส่งผ่าน" อัตราดอกเบี้ยนโยบายไปสู่อัตราดอกเบี้ย MLR ( Minimum Loan Rate) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา // MOR (Minimum Overdraft Rate ) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี และ MRR ( Minimum Retail Rate) หรืออัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี นั้น
ธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งก่อนหน้านี้ อัตราการส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดต่ำลงในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่สาม (30 เม.ย.68) สะท้อนจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปรับลดลงเล็กน้อย ตามการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 30 เมษายน 2568 โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิง MLR ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 7.52 และ MRR ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 7.86 ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ก็ปรับลดลงเล็กน้อยเช่นกัน
ทั้งนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวมสามครั้งที่ผ่านมา (วันที่ 16 ต.ค. 67 วันที่ 26 ก.พ. 68 และวันที่ 30 เม.ย. 68) ธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า ส่งผ่านไปอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR MRR และ MOR เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 42 ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราการส่งผ่านในวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงในอดีต
ดร.สักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการกนง. ระบุว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งแรกส่งผ่านไปยังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตโควิดที่ส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปสู่อัตราดอกเบี้ย MLR MRR และ MOR เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 40 ส่วนในการปรับดอกเบี้ยนโยบายของกนง.รอบนี้ คาดหวังว่าทางธนาคารพาณิชย์ก็จะมีการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ตาม หลังการส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่สามไปธนาคารพาณิชย์ปรับดอกเบี้ยเงินกู้น้อยลงกว่า 2 ครั้งแรก
“คาดหวังว่าการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 นี้จะมีธนาคารลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม เพราะการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งที่ผ่านมายังมีผลการส่งผ่านค้างท่อยังรอการส่งผ่านอีก” และการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้เป็นการผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจมากขึ้นว่า ภาวะการเงินจะเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง
อย่างไรก็ดี การส่งสัญญาณของกนง. ครั้งล่าสุดนี้ ถือว่าได้รับการตอบสนองจากธนาคารพาณิชย์ทันที หลังจากอั้นมาในรอบที่แล้ว โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) หรือแบงก์รัฐ ทยอยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ หรืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทร้อยละ 0.25 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
นำร่องโดยธนาคารกรุงเทพ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ “ M Rate” ทั้ง MLR- MOR -MRR ร้อยละ 0.25 เพื่อช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดย MLR ลดเหลือร้อยละ 6.50 ต่อปี MOR ลดเหลือร้อยละ 6.75 ต่อปี และ MRR ลดเหลือร้อยละ 6.65 ต่อปี โดยจะมีผลวันที่ 14 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
จากนั้นธนาคารพาณิชย์หลายแห่งก็ทยอยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน ทั้งธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และทีเอ็มบีธนชาต ก็ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเทศร้อยละ 0.25 โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงร้อยละ 0.25 ต่อปี มีผลวันที่ 18 สิงหาคมเป็นต้นไป
โดยเหตุผลการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในครั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งระบุว่า เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และช่วยลดต้นทุนทางการเงิน บรรเทาภาระหนี้ของภาคธุรกิจและประชาชน อีกทั้งยังเป็นการช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการภาษีสหรัฐฯ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง
ขณะที่ สถาบันการเงินเฉพาะของรัฐ หรือแบงก์รัฐ ก็ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เช่นกัน โดยธนาคารออมสิน ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภททั้ง MRR MLR และ MOR ร้อยละ 0.25 หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบ ส่งผลให้ MRR ลดเหลือร้อยละ 6.295 ต่อปี MLR ลดเหลือร้อยละ 6.325 ต่อปี และ MOR ลดเหลือร้อยละ 6.095 ต่อปี
ส่วนธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ประกาศปรับลดเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี หรือ MRR ร้อยละ 0.25 ต่อปี จากปัจจุบันร้อยละ 6.495 ต่อปี เป็นร้อยละ 6.245 ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ส่งผลให้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ของ ธอส. ยังคงอยู่ในระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินของรัฐอื่น
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) อยู่ที่ร้อยละ 6.100 ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) อยู่ที่ร้อยละ 6.000 ต่อปี แม้ธอส. จะยังคงอยู่ระดับเดิมแต่ถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับตลาด
ส่วนธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ร้อยละ 0.05 จากร้อยละ 6.15 เหลือร้อยละ 6.10 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ EXIM BANK ใช้สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีหรือ MRR ของธนาคารพาณิชย์ นับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทสูงสุดร้อยละ 0.25 ต่อปี เพื่อบรรเทาภาระต้นทุนทางการเงินให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ลดลงร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 7.575 ต่อปี ลดลงเหลือร้อยละ 7.325 ต่อปี , ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ลดลงร้อยละ 0.15 จากร้อยละ 7.40 ต่อปี ลดลงเหลือร้อยละ 7.20 ต่อปี และ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำ (MLR) ลดลงร้อยละ 0.20 จากร้อยละ 7.25 ต่อปี เหลือร้อยละ 7.10 ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ลงร้อยละ 0.25 ต่อปี คงเหลือร้อยละ 5.60 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุด เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ บสย. จ่ายเคลมอย่างต่อเนื่อง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 3 ของปี จากเมื่อต้นปี
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุดร้อยละ 0.25 ต่อปี เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้สินให้กับเกษตรกรลูกค้ารายย่อยและลูกค้ากลุ่มเปราะบาง รวมถึงช่วยลดผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือ ไอแบงก์ ได้ปรับลดอัตรากำไรสินเชื่อสูงสุดร้อยละ 0.25 โดยปรับลดอัตรากำไรสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (SPR) ลดลงร้อยละ 0.25 เหลือร้อยละ 7.65 ต่อปี อัตรากำไรสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทสินเชื่อแบบมีกำหนดระยะเวลา (SPRL) อยู่ที่ร้อยละ 7.80 ต่อปี และปรับลดอัตรากำไรสินเชื่อสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (SPRR) ลดลงเหลือร้อยละ 8.05 ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ทุกกลุ่มลูกค้า ทั้งดอกเบี้ย MLR MOR และ MRR ที่ร้อยละ 0.25 นั้น ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า จะมีผลต่อผู้กู้ 2 กลุ่มหลัก กลุ่มผู้ที่มีบ้านเป็นหลักทรัพย์ เช่น สินเชื่อบ้านและสินเชื่อบ้านแลกเงิน ซึ่งสินเชื่อในกลุ่มนี้จะอิงกับการเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยเป็นหลัก ขณะเดียวกันอีกกลุ่มที่จะได้รับผลบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยคือ ธุรกิจที่ใช้สินเชื่อซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว
ทั้งนี้สินเชื่อบ้านและสินเชื่อธุรกิจมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 60 ของสินเชื่อรวมในระบบธนาคาร จึงคาดว่าผลจากการลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะทำให้ภาระดอกเบี้ยลดลงราว 7,000 ล้านบาท ทั้งนี้อยู่บนสมมุติฐาน ธนาคารพาณิชย์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ M Rate ลงร้อยละ 0.25 ทั้ง 3 ตัว (MOR MLR MRR) ประมาณ 5 เดือน ตั้งแต่สิงหาคม-พฤศจิกายน
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจของสถาบันการเงินส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า คาดกนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในการประชุม 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ อาทิ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ SCB EIC ประเมินว่า กนง.จะยังลดดอกเบี้ยต่ออีกหนึ่งครั้งในปีนี้เนื่องจาก
1) ภาวะการเงินตึงตัว รวมทั้งเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเร็วอาจเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
โดยสถานการณ์สินเชื่อหดตัว โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ SMEs และสินเชื่อครัวเรือนจะยังดำเนินต่อไป จากความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่วนหนึ่งจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ธุรกิจ SMEs บางส่วนประสบปัญหาความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ภาคครัวเรือนยังประสบปัญหาภาระหนี้ที่มีอยู่เดิม
ขณะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา หากเปรียบเทียบกับหลายประเทศคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐฯ อาจเป็นอีกปัจจัยกดดันความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกไทย การแข็งค่านี้สะท้อนจากดัชนีค่าเงินบาทในช่วงตั้งแต่ต้นปี 2025 ที่ผ่านมา ที่ดัชนีอยู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤติการเงินเอเชียปี 1997
2) อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (Real rate) ในปัจจุบันยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับในอดีต โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงของไทย อยู่ที่ประมาณร้อยละ 0.75 (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย - อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ 1 ปีข้างหน้า ณ เดือนสิงหาคม 2568 ) ขณะที่ค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ใกล้เคียงร้อยละ 0 เท่านั้น สะท้อนว่าระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอาจยังไม่ผ่อนคลายเพียงพอ เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่ำกว่าในอดีตอย่างมีนัย
3) อัตราเงินเฟ้อไทยที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องเป็นเวลานาน แม้จะมีที่มาจากปัจจัยด้านอุปทานและมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพจากภาครัฐโดยเฉพาะด้านพลังงานเป็นหลัก อาจทำให้ครัวเรือนเผชิญกับภาวะ “Debt deflation” และนำไปสู่ความเสี่ยงภาวะเงินฝืด (Deflation) ในที่สุด
Debt deflation คือสถานการณ์ที่มูลค่าที่แท้จริงของหนี้ไม่ลดลงตามราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้ภาระหนี้ครัวเรือนยังคงสูงอยู่ โดยที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อต่ำไม่ได้ช่วยในกระบวนการลดหนี้ครัวเรือน (Debt deleveraging) มากนัก แต่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงที่เห็นในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เกิดจากหนี้ใหม่ที่ชะลอตัว
หากสถานการณ์นี้ดำเนินต่อไป อาจทำให้ครัวเรือนเปราะบางยิ่งขึ้น ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอลง และนำไปสู่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation)
SCB EIC จึงประเมินว่าภายในปีนี้ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในไตรมาส 4 เพื่อให้นโยบายการเงินสามารถรองรับความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าได้
ดังนั้น ณ สิ้นปีนี้น่าจะเห็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงสู่ระดับร้อยละ 1.25 ต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 1.50 ต่อปี แต่การส่งผ่านไปสู่อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์จะมากน้อยแค่ไหน เป็นประเด็นที่ต้องติดตาม
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
