ชี้ทางรอด 2026 "ร้านอาหาร-คาเฟ่" ไปต่อได้ ต้องขาย "ความคุ้มค่า" คนไทยกำลังซื้ออ่อนแอ หนี้ครัวเรือนสูง

ทางรอด ปี 2026 "ร้านอาหาร-คาเฟ่" อยากไปต่อ ต้องขาย "ความคุ้มค่า" คนไทยรัดเข็มขัด กำลังซื้อเปราะบาง
จับทิศทางธุรกิจปีหน้า 2026 ร้านอาหาร และค้าปลีกยังได้ไปต่อ โตได้แต่ไม่พุ่งเท่าปีนี้ เพราะแข่งขันกันสูง ลูกค้าในปีหน้าจะเน้นลดความฟุ่มเฟือย ดังนั้นร้านที่ขายราคาคุ้มค่าจะมาแรง ส่วนค้าปลีกเจาะไปที่เทรนด์สุขภาพ และสินค้าจำเป็นที่ยังขายได้อยู่
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินทิศทางธุรกิจในปีหน้า ปี 2026 ระบุว่าธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหารยังมีแนวโน้มเติบโตได้ ภายใต้ทิศทางของผู้บริโภคที่เน้นสินค้าที่จำเป็นและลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยลง รวมถึงธุรกิจก็มีการแข่งขันสูง ท่ามกลางบรรยากาศเศรษฐกิจที่ไม่มีอะไรแน่นอน
ภาพรวมแนวโน้ม "ธุรกิจบริการอาหาร" ปี 2026
ธุรกิจบริการอาหารในปีหน้ายังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ ท่ามกลางความท้าทายมากมาย ยอดขายที่เติบโตอาจมาจากปัจจัยราคา ธุรกิจขนาดเล็กเจอแรงกดดันจากการแข่งขันและต้นทุนที่สูง ขณะที่ร้านขนาดใหญ่เริ่มเข้ามาแข่งขันในการขายอาหารที่ราคาคุ้มค่ามากขึ้น
การเติบโตของธุรกิจอาหารมีแนวโน้มที่จะโตแบบค่อนข้างทรงตัวจากปีนี้ โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ราว 3.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนปี 2025 จะขยายตัวราว 3.3% แรงหนุนสำคัญสำหรับร้านอาหาร คือ ในช่วงปลายปี นี้ 2025 ได้อานิสงส์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ เช่น คนละครึ่งพลัส และเที่ยวดีมีคืน ทำให้ธุรกิจร้านอาหารมีบรรยากาศที่ฟื้นตัวขึ้นบ้าง แต่สำหรับปีหน้าการเติบโตอาจจะชะลอตัวจากปีนี้เล็กน้อย เป็นผลมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและมีความเสี่ยงว่าจะชะลอตัวอยู่ค่อนข้างมาก ทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายบางส่วนที่ไม่จำเป็นลง รวมไปถึงตลาดของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฟื้นตัวค่อนข้างช้า ส่งผลทำให้ผู้บริโภคบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางอาจมีการลดการรับประทานอาหารนอกบ้านลง (Dine out) ทำให้ยอดขายกลุ่ม Full-service restaurant ได้รับผลกระทบ
สะท้อนได้จาก อัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม Same Store Sales Growth SSSG ที่ติดลบอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่ม Limited-service ก็มีรายงานว่ามีการขยายสาขาในอัตราที่ลดลง และกลุ่ม Cafe/Bars ก็ดูเหมือนว่าเริ่มจะประสบปัญหา Oversupply หรือร้านล้นตลาด เปิดมากเกินความต้องการ
ทิศทาง "ร้านอาหาร" แต่ละรูปแบบ
ธุรกิจบริการอาหารแบบ Full-service หรือ Full-service restaurant : บริการอาหารที่มีสถานที่นั่งรับประทานอาหาร เน้นอาหารมากกว่าเครื่องดื่ม และมีพนักงานบริการที่โต๊ะอาหาร รวมถึงคุณภาพของอาหารดีกว่ากลุ่ม Limited-service restaurant
กลุ่มนี้คาดว่าจะเติบโต 3% ในปี 2026 จากที่เติบโตประมาณ 3.2% ในปี 2025 โดยร้านอาหารกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจค่อนข้างมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ แต่ยังได้รับแรงหนุนจากกลุ่มลูกค้าไทยและนักท่องเที่ยวที่มีกำลังบริโภคสูง ที่หาประสบการณ์จากการรับประทานอาหารในร้านใหม่ ๆ เช่น บรรยากาศ รสชาติ เรื่องราว
ธุรกิจร้านอาหาร Limited-service restaurant : บริการอาหารที่ผสมผสานระหว่างร้านอาหาร Fast food และร้านอาหารที่ให้บริการจัดส่งถึงบ้าน/รับกลับบ้าน ร้านเหล่านี้มักมีเมนูที่จำกัดและเป็นอาหารที่สามารถเตรียมได้อย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปลูกค้าจะสั่ง จ่ายเงิน และรับออเดอร์ของตนที่เคาน์เตอร์ แม้ว่าบางสถานที่อาจมีบริการที่โต๊ะแต่ค่อนข้างจำกัด
กลุ่มนี้คาดว่าจะเติบโต 2.7% ในปี 2026 จากที่คาดว่าเติบโตราว 2.3% ในปี 2025 โดยมีปัจจัยหนุนจากไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น อีกทั้ง ยังเป็นกลุ่มที่สามารถควบคุมมาตรฐานของคุณภาพและรสชาติได้ดี และในราคาที่เข้าถึงง่าย จะทำให้ร้านอาหารกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบไม่รุนแรงเท่ากลุ่มอื่น ๆ ในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ร้านอาหารแบบคาเฟ่/บาร์ : บริการอาหารที่เน้นขายเครื่องดื่ม (ทั้งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์) ทั้งนี้อาจมีบริการขนมและอาหารภายในร้าน อย่างไรก็ดี โดยทั่วไปรายได้ราว 50% หรือมากกว่ามาจากการขายเครื่องดื่ม
กลุ่มนี้่คาดว่าจะเติบโต 3.7% ในปี 2026 จากที่คาดว่าเติบโตราว 3.9% ในปี 2025 โดยได้ปัจจัยสนับสนุนจากการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค อาทิ ความต้องการสถานที่พบปะสังสรรค์ การทำงานนอกสถานที่ และการท่องเที่ยวในเมืองเพิ่มขึ้น รวมไปถึงความต้องการในการค้นหาประสบการณ์ที่แตกต่าง โดยเฉพาะร้านคาเฟ่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ปี 2026 คาด "ค้าปลีก" โตแต่ชะลอตัวลง จากหนี้ครัวเรือน กำลังซื้ออ่อนแอ
แนวโน้มธุรกิจค้าปลีกปี 2026 ไปต่อ โตได้แต่ชะลอตัวลง จากหลายความท้าทาย โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน กำลังซื้อเปราะบาง นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฟื้นตัวช้า
SCBEIC ประเมินว่า ตลาดค้าปลีกไทยปีหน้านี้มีแนวโน้มเติบโตที่ราว 3.7% ซึ่งเป็นการเติบโตที่ชะลอลงจากช่วงปี 2025 ที่คาดว่าจะขยายตัวที่ราว 3.9% เป็นเพราะว่าภาวะเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน จากปัจจัยกดดันทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ ที่ส่งผลต่อกำลังซื้อและทำให้ผู้บริโภคเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับสินค้าจำเป็นและอาจชะลอการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยออกไป ขณะที่นักท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอตัวทั้งในแง่ของจำนวนและการใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดค้าปลีกคือ Non-store segment ที่ยังขยายตัว
ในปี 2026 กลุ่มที่คาดว่ายังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ยังคงเป็นหมวดร้านค้าสินค้าจำเป็นอย่างกลุ่ม Modern grocery เช่น CVS, Supermarket, Hypermarket และกลุ่ม Health & Beauty ตามเทรนด์การรักษาสุขภาพและความสวยความงาม ทั้งนี้กลุ่มที่ยังต้องจับตามอง ได้แก่ Department store และกลุ่มสินค้า Fashion ซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ผู้บริโภคอาจจะชะลอการใช้จ่ายในกลุ่มนี้ไปก่อน อีกทั้ง กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยยังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่เป็นไปตามคาด
ขณะที่กลุ่ม Home and garden ยังมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยที่ซบเซาต่อเนื่อง
ส่วนตลาด E-commerce ยังคงเติบโตได้ดี แม้การเติบโตจะไม่ร้อนแรงเท่ากับช่วงโรคระบาด โดยมีปัจจัยหนุนจากพฤติกรรมที่ผู้บริโภคเน้นความสะดวกสบาย ในขณะที่ร้านค้าต่าง ๆ ก็มีทางเลือกให้ลูกค้าสำหรับการซื้อทั้งที่หน้าร้านและช่องทางออนไลน์ รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยที่เน้นการขายออนไลน์มากกว่าหน้าร้าน โดยคาดว่าสัดส่วนยอดขายจาก E-commerce ของตลาดค้าปลีกจะอยู่ที่ราว 30% ในปี 2026
เทรนด์รักษ์สิ่งแวดล้อมยังคงมีบทบาทสำคัญในธุรกิจค้าปลีก รวมไปถึง AI ที่เข้ามามีบทบาทเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจมากขึ้น และเทรนด์ด้านสิ่งแวดล้อมทำให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบตระหนักรู้มากขึ้น ซึ่งแนวคิดด้าน ESG ไม่เพียงสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ร้านค้าแต่ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคไทยยังมี Willingness to pay ในสินค้าที่มีความยั่งยืนไม่มากนัก ผู้ประกอบการอาจต้องมี Incentive เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าที่มีความยั่งยืนมากขึ้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
