รีเซต

ตลาดรถเปลี่ยนไป "อีวีจีน"ผงาดตีแตกทุกค่าย จ่อครองโลก "ไทย" สะเทือนหนักส่งออกรถสันดาปขาลง เสี่ยงวูบยาว

ตลาดรถเปลี่ยนไป "อีวีจีน"ผงาดตีแตกทุกค่าย จ่อครองโลก  "ไทย" สะเทือนหนักส่งออกรถสันดาปขาลง เสี่ยงวูบยาว
TNN ช่อง16
23 ธันวาคม 2568 ( 08:00 )
12

"ค่ายรถอีวีจีน" ตีตลาดแตกทั่วโลก กระทบส่งออกรถยนต์ของไทย ถูกปาดหน้าแทนที่ คาดติดลบต่อเนื่องยาวถึงปี 2569  


รายงานล่าสุดจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) คาดการณ์ว่า ปีหน้า ปี 2569 ประเทศไทยยังคงส่งออกรถยนต์ลดลงต่อเนื่อง หรือติดลบที่ 3% เมื่อเทียบเป็นรายปี เหลือยอดการส่งออกเพียงแค่ประมาณ 9 แสนคันเท่านั้น จากปีนี้ที่คาดทำได้ 9 แสน 3 หมื่นคัน หรือหดตัวประมาณ 9% โดยปัจจัยเสี่ยงสำคัญในภาพรวมยังมาจากการแข่งขันด้านการส่งออกที่เพิ่มขึ้นมาจากประเทศจีน และจากประเทศคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ ที่ส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐฯ ได้ลดลง รวมถึงมาตรฐานรถยนต์นำเข้าใหม่ที่เข้มงวดขึ้น และทิศทางความต้องการใช้รถยนต์ที่เปลี่ยนไปในหลายตลาดทั่วโลก


ดังนั้นศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงประเมินและมองประเทศไทยของเราจำเป็นต้องเร่งพัฒนาตัวเองให้ขึ้นเป็นฐานผลิตหลักของรถยนต์นั่งและปิกอัพในกลุ่มอีวี ตามทิศทางของตลาดที่มาแรง พร้อมๆไปกับการพัฒนาเพื่อลดต้นทุนการผลิตปิกอัพ ให้ไทยพอมีกำลังสามารถแข่งขันกับจีนได้ รวมถึงต้องเร่งเพิ่มโอกาสหาทางในการส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ ควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้ประเทศไทยก้าวข้ามการหดตัวต่อเนื่องในอนาคต 


ย้อนกลับไปในอดีตจีนเคยเป็นประเทศที่ส่งออกรถยนต์น้อยกว่าไทยมาโดยตลอด ก่อนที่ปี 2564 จีนจะกลายมาเป็นคู่แข่งรายสำคัญ  ล่าสุดมูลค่าส่งออกรถยนต์จากจีนได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนไปสู่ระดับทั่สูงกว่าไทยถึง 5.4 เท่า ขณะที่มูลค่าการส่งออกรถยนต์จากไทยกลับอยู่ในทิศทางที่ลดลง หดตัวลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ 2568 ข้อมูลพบว่าประเทศไทยมีการส่งออกลดลงในหลายตลาดหลัก


และหากเราพิจารณาถึงประเภทรถยนต์ที่ส่งออก จะพบว่าจีนสามารถขยายการส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดโลกได้ดีกว่าประเทศไทย ทั้งกลุ่มรถยนต์นั่งและกลุ่มรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก เช่น ปิกอัพและรถตู้บรรทุกสินค้า เจาะตัวเลขดูได้จากสถิติมูลค่าการส่งออกช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 จะพบว่า 


กลุ่มรถยนต์นั่ง จีนมีมูลค่าส่งออกสูงกว่าไทยถึงมากกว่า 9 เท่า และยังขยายตัวถึง 10% เมื่อเทียบเป็นรายปี ตรงข้ามกับไทยที่หดตัว 11% 


กลุ่มปิกอัพและรถตู้บรรทุกสินค้า พบการส่งออกจากจีนขยายตัวสูงถึง 41% เทียบกับไทยที่ขยายตัวเพียง 8% เมื่อเทียบเป็นรายปี และแม้มูลค่าส่งออกของจีนในกลุ่มนี้ยังต่ำกว่าไทยอยู่บ้าง แต่พบว่ามีการขยับระดับเข้าใกล้ไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ

ปัจจุบันนี้การส่งออกรถยนต์นั่งของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ เพราะเจอกับสงครามราคา และยังเจอกับทิศทางที่เปลี่ยนไปของความต้องการใช้รถของคนในยุคนี้ เนื่องจากประเทศไทยของเรายังคงมุ่งเน้นไปที่การส่งออกรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ซึ่งตลาดต้องการลดลงหรือหายไปมากถึง 90%


ขณะที่กลุ่มที่มาแรงและเป็นที่ต้องการอย่างมาก อย่างรถยนต์นั่งที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหรืออีวี ประเทศไทยเรากลับมีส่วนแบ่งในการส่งออกเพียงแค่ 10% ซึ่งสวนทางกับจีนที่เพิ่มสัดส่วนส่งออกรถยนต์นั่งกลุ่มนี้ขึ้นอย่างรวดเร็วจนไปสู่ระดับ 60% ของการส่งออกแล้ว 


ข้อมูลต่างๆเหล่านี้เป็นการสะท้อนถึงปัญหาความสามารถในการแข่งขันของไทยที่ปัจจุบันนี้เราถือว่ามีการผลิตรถยนต์นั่งที่ตอบโจทย์ตลาดโลกได้น้อยลง วัดได้จากมูลค่าส่งออกรถยนต์นั่งจากจีนไปตลาดส่วนใหญ่มีการขยายตัวในอัตราที่สูงระหว่าง 12%  ถึง 148% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งตรงข้ามกับไทยที่ติดลบเกือบทุกตลาด ตั้งแต่ 3% ไปถึง 48% เมื่อเทียบเป็นรายปี เราเหลือเพียงแค่แอฟริกาตลาดเดียวที่ยังขยายตัวได้


แม้กระทั่งอีกหนึ่งกลุ่ม ก็คือ ปิกอัพ การส่งออกรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก  แม้ภาพรวมถือว่าเรายังขยายตัวได้อยู่ แต่ก็เริ่มส่งสัญญาณอันตราย เพราะมีการหดตัวแล้วเช่นกันในตลาดหลักอย่างโอเชียเนีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งออสเตรเลียคู่ค้าสำคัญในกลุ่มนี้มีการเปลี่ยนมาตรฐานรถยนต์นำเข้าให้เข้มงวดขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งปรากฎว่าปิกอัพจากไทยบางส่วนไม่สามารถผ่านเกณฑ์ดังกล่าวได้ จึงส่งผลให้การส่งออกรถกลุ่มนี้ไปโอเชียเนียติดลบ 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน สวนทางจีนที่ส่งออกได้เพิ่มถึง 183% ปัจจัยสำคัญ คือ ประเทศจีนได้ใช้ทั้งกลยุทธ์ราคาและเน้นส่งออกรถกลุ่มนี้ที่เป็น HEV และ PHEV ซึ่งสามารถผ่านเกณฑ์มาตรฐานรถยนต์นำเข้าใหม่ของออสเตรเลียได้



ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของค่ายรถญี่ปุ่นมาช้านาน ซึ่งล่าสุดค่ายญี่ปุ่นก็เริ่มปรับหันมารุกอีวีแล้วเช่นกัน จึงถือเป็นความหวังของไทยด้วย 


ปัจจุบันค่ายรถญี่ปุ่นในประเทศไทยเริ่มพัฒนาปิกอัพกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี เพิ่มขึ้นแล้ว โดยเฉพาะรถที่เป็น BEV (Battery Electric Vehicle) หรือรถยนต์ไฟฟ้า 100% เพื่อตอบโจทย์ตลาดที่มีความเข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อมอย่างสหภาพยุโรป หรือออสเตรเลีย ซึ่งอาจช่วยพยุงตลาดส่งออกเหล่านี้ได้บ้าง แต่ข้อจำกัดเรื่องราคาที่ยังสูงและระยะทางวิ่งที่ยังสั้นอาจเป็นอุปสรรคสำคัญที่จำเป็นต้องพัฒนาต่อ


เช่น อีซูซุ ที่ล่าสุดได้ประกาศความสำเร็จการส่งออกรถยนต์จากฐานการผลิตในประเทศไทยครบ 3 ล้านคัน อย่างเป็นทางการ ครอบคลุมรถปิกอัพอีซูซุ ดีแมคซ์ และรถอเนกประสงค์ มิว-เอ็กซ์ สะท้อนศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยและความเชื่อมั่นของตลาดโลกต่อคุณภาพรถที่ผลิตโดยคนไทยห


ผู้บริหารอีซูซุระบุว่า ไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์สำคัญระดับโลก นับตั้งแต่ย้ายฐานการผลิตรถปิกอัพหลักจากญี่ปุ่นมาไทยในปี 2545 โดยส่งออกไปกว่า 120 ประเทศ พร้อมสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง ใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากกว่า 90% และถ่ายทอดเทคโนโลยีรวมถึงศูนย์วิจัยและพัฒนามายังไทย


พร้อมช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างการจ้างงานในอุตสาหกรรมยานยนต์กว่า 8 แสนคน และที่สำคัญ คือ ล่าสุดอีซูซุยังได้ประกาศเริ่มการผลิตและส่งออกรถปิกอัพไฟฟ้า ดีแมคซ์ EV จากไทยสู่ตลาดโลก สะท้อนการเดินหน้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์อนาคตอย่างต่อเนื่อง


รวมไปถึงล่าสุดอีกหนึ่ง ก็คือ มาสด้าของญี่ปุ่นก็ได้ประกาศลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ไทยเป็นฐานผลิตรถยนต์ MHEV(Mild Hybrid Electric Vehicle) ซึ่งเป็นรถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า  รุ่น B-SUV กำลังการผลิต 1 แสนคันต่อปี คาดว่าจะเริ่มผลิตกลางปี 2570 เป้าหมาย คือ เพื่อส่งออกไป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอาเซียน ใช้ชิ้นส่วนในประเทศกว่า 70% สะท้อนความเชื่อมั่นไทยสู่การเป็นฐานผลิตกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ของภูมิภาค

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง