รีเซต

5 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ Big Bang ทฤษฎีกำหนดประวัติศาสตร์จักรวาล

5 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ Big Bang ทฤษฎีกำหนดประวัติศาสตร์จักรวาล
TNN ช่อง16
11 กรกฎาคม 2566 ( 09:35 )
79

ทฤษฎีบิ๊กแบง (Big Bang) เป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงการระเบิดครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้พลังงานส่วนหนึ่งของการระเบิดเปลี่ยนเป็นเนื้อสาร และวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาเป็นกาแล็กซี่, ดาวฤกษ์, ดาวเคราะห์และมนุษย์ โดย 5 ข้อเท็จจริงของทฤษฎีบิ๊กแบงมีดังนี้


บิ๊กแบง (Big Bang) ถูกค้นพบครั้งแรกโดยนักบวชนิกายคาทอลิก 

ย้อนในปี 1915 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ได้เผยแพร่ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ซึ่งเชื่อว่าเอกภพนั้นคงที่ ไม่มีการหดหรือขยายตัว ต่อมาในปี 1929 เอ็ดวิน ฮับเบิล (Edwin Hubble) หนึ่งในนักดาราศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 ค้นพบการเลื่อนทางแดง (Red Shift) ของกาแล็กซี่ในอวกาศ ซึ่งหมายความว่ากาแล็กซี่เหล่านั้นกำลังเคลื่อนที่ออกจากโลกอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการค้นพบนี้จึงขัดแย้งกับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปที่เชื่อว่าเอกภพคงที่


โดยนักบวชนิกายโรมันคาธอลิกที่ชื่อจอร์ชส เลอไมเตอร์ (Georges Lemaître) ได้นำการค้นพบของเอ็ดวิน ฮับเบิลและทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์มาอธิบายว่าเอกภพที่เราอาศัยอยู่กำลังขยายตัว และครั้งหนึ่งมันเคยเล็กกว่านี้มาก อีกทั้งยังร้อนกว่าและหนาแน่นกว่า ซึ่งเขาเรียกจุดนี้ว่าอะตอมยุคดึกดำบรรพ์ (Primeval Atom)


เราทุกคนเคยเป็นหนึ่งเดียวกันกับทุกสิ่งในเอกภพ 

จากทฤษฎีบิ๊กแบงที่อธิบายถึงการระเบิดของจุดเล็ก ๆ เพียงจุดเดียว ชี้ว่าพลังงานและสสารได้พัฒนามาเป็นทุกสิ่งในเอกภพในยุคปัจจุบัน ดังนั้นจึงตีความได้ว่ามนุษย์ทุกคนเคยเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งในเอกภพ เช่น กาแล็กซี่, ดวงอาทิตย์, ดาวฤกษ์, ดาวเคราะห์แคระและอื่น ๆ แม้กระทั่งเศษฝุ่นในเอกภพ


การค้นพบหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีบิ๊กแบงโดยบังเอิญ 

ในปี 1964 วิศวกรวิทยุ 2 คน ชื่ออาร์โน เปนเซียส (Arno Penzias) และโรเบิร์ต วิลสัน (Robert Wilson) ได้ค้นพบรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของเอกภพ (Cosmic Microwave Background) โดยบังเอิญระหว่างทำการทดสอบเครื่องรับคลื่นไมโครเวฟตัวใหม่


โดยการค้นพบรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของเอกภพชี้ให้เห็นว่าเอกภพเคยเป็นพลาสมาที่ร้อนและหนาแน่น ก่อนพัฒนาไปเป็นก๊าซที่เป็นกลางและร้อนน้อยกว่าเล็กน้อย จึงทำให้เอกภพมีการแผ่รังสีไมโครเวฟออกมาก ซึ่งตรงกับสมมุติฐานของทฤษฎีบิ๊กแบงที่ว่าเอกภพเริ่มจากจุดเล็กและระเบิดออก หลังจากนั้นจึงค่อย ๆ เย็นลงและเปลี่ยนสถานะจากพลาสมาเป็นก๊าซที่เป็นกลาง ดังนั้นค้นพบรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของเอกภพในครั้งนี้จึงกลายเป็นหลักฐานสำคัญที่สนับสนุนสมมุติฐานของทฤษฎีบิ๊กแบง


บิ๊กแบงเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเอกภพ 

ทฤษฎีบิ๊กแบงอธิบายถึงประวัติศาสตร์ของเอกภพตั้งแต่ตอนที่มันมีขนาดใหญ่ไม่เกินลูกพีชลูกหนึ่งและมีอุณหภูมิมากกว่า 1 ล้านล้านองศา การเปลี่ยนแปลงของสสารและพลังงานที่ทำให้เกิดเป็นกาแล็กซี่, ดาวเคราะห์, ดาวฤกษ์และทุกอย่างในเอกภพเคยรวมอยู่ในก้อนเล็ก ๆ นี้ แต่ทฤษฎีบิ๊กแบงก็ไม่ได้อธิบายถึงเอกภพในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น 


รูปถ่ายของเอกภพวัยทารก 

ขณะที่เอกภพมีอายุได้ประมาณ 380,000 ปี มันได้ก่อให้เกิดรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของเอกภพ เนื่องจากมันเปลี่ยนสถานะจากพลาสมาเป็นก๊าซที่เป็นกลาง ซึ่งรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของเอกภพที่เกิดขึ้นในเวลานั้นยังคงตรวจจับได้มาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นการตรวจจับรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของเอกภพมาทำเป็นแผนที่ 2 มิติ จึงทำให้เราได้ภาพถ่ายของเอกภพเมื่อตอนที่มันอายุได้ ประมาณ 380,000 ปี เทียบเท่ากับทารกที่มีอายุได้เพียง 10 ชั่วโมง เท่านั้น ซึ่งปัจจุบันเอกภพมีอายุ 13,770 ล้านปี

ข้อมูลจาก livescience

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง