รีเซต

สหรัฐ VS จีน ผลัดกันขึ้นภาษี ? จะไปสุดที่ตรงไหน ไม่มีใครชนะ ในสงครามการค้าโลก

สหรัฐ VS จีน ผลัดกันขึ้นภาษี ? จะไปสุดที่ตรงไหน ไม่มีใครชนะ ในสงครามการค้าโลก
TNN ช่อง16
11 เมษายน 2568 ( 08:00 )
11

"สงครามการค้าโลก" กำลังเริ่มขึ้นแล้ว แล้ว "จะไปสุดที่ตรงไหน ? " 

การตอบโต้ไปมาระหว่างสหรัฐกับจีน ผลัดกันขึ้นภาษี จนตอนนี้อัตราภาษีพุ่งไปสูงสุดครั้งประวัติศาสตร์

ซึ่งทางการจีนก็ได้ออกมาย้ำและประกาศกร้าวแล้วว่า "จะขอสู้จนถึงที่สุด"


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ดำเนินนโยบายการค้าเชิงรุก หวังหารายได้เข้าสู่ประเทศ

ด้วยการใช้ภาษีศุลากรแบบต่างตอบแทน  (Reciprocal Tariffs)  หรือ "ภาษีตอบโต้" ที่คนเรียกกัน

เริ่มต้นลงนามประกาศใช้เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568  

ประกอบไปด้วยการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าไปยังทั่วโลก Baseline Tariffs  10 % 

และ Reciprocal Tariffs ที่เจาะจงตัวเลขภาษีนำเข้าของแต่ละประเทศมากน้อยแตกต่างกันไป โดยวัดจากการขาดดุลการค้า

เช่น ประเทศไทยถูกเรียกเก็บภาษี 36%   เวียดนาม 46 %

และล่าสุด 9  เมษายน 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งระงับภาษีดังกล่าวนี้แล้วเป็นการชั่วคราว 90 วัน เพื่อให้เวลานานาชาติได้เข้ามาเจรจาต่อรอง 

เว้นเพียงประเทศเดียวที่ไม่ได้รับการระงับและเดินหน้าต่อ  คือ "จีน" พร้อมขึ้นภาษีไปอีก เป็น 125  %

เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์ไม่พอใจที่ทางการจีนตอบโต้กลับสหรัฐฯด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าจีนเช่นกัน 

ขณะที่ชาติอื่นๆรวมถึงประเทศไทยต่างก็กำลังเข้าคิวรอคอยการเข้าไปเจรจาต่อรองกับทางการสหรัฐฯหวังจะลดระดับภาษีได้ 


" จีน " ไม่ได้สู้เพียงลำพัง ? 


ล่าสุด 10 เมษายน 2568 กระทรวงพาณิชย์จีนแถลง ว่า จีนและสหภาพยุโรป (EU) 

ตกลงที่จะร่วมมือกันสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี โดยมีองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นแกนกลาง

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า แถลงการณ์นี้มีขึ้นหลังจากการหารือผ่านวิดีโอเมื่อวันอังคาร (8 เมษายน 2568 ) 

ระหว่าง "หวัง เหวินเทา" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีน และ "มารอช เชฟโชวิช" คณะกรรมาธิการยุโรปด้านการค้าและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ 

โดยทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยในหลายประเด็น ทั้งการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างจีน-EU 

และแนวทางการรับมือกรณีที่สหรัฐฯ ใช้ “ภาษีตอบโต้” (Reciprocal tariff)


รัฐมนตรีพาณิชย์จีน ชี้ว่า มาตรการ “ภาษีตอบโต้” ของสหรัฐฯ 

เป็นการละเมิดผลประโยชน์โดยชอบธรรมของประเทศอื่นอย่างร้ายแรง 

ขัดต่อกฎเกณฑ์ของ WTO ทำลายระบบการค้าพหุภาคีที่ตั้งอยู่บนกฎกติกา 

และส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลก


พร้อมย้ำกว่า การกระทำของสหรัฐฯ เป็นตัวอย่างชัดเจนของแนวคิดการดำเนินการแต่เพียงฝ่ายเดียว 

การกีดกันทางการค้า และการใช้อำนาจทางเศรษฐกิจรังแกผู้อื่น จีนคัดค้านเรื่องนี้อย่างยิ่ง 

และได้ดำเนินมาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตนเอง


“ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้า และการกีดกันทางการค้าไม่นำไปสู่อะไร”  คำกล่าวของรัฐมนตรีพาณิชย์จีน 


และเผยอีกว่า จีนพร้อมที่จะแก้ไขข้อขัดแย้งผ่านการเจรจาหารือ แต่ก็พร้อมจะต่อสู้ถึงที่สุดหากสหรัฐฯ ยังคงดึงดันที่จะดำเนินการเช่นนี้ต่อไป


ในสถานการณ์ปัจจุบัน การที่จีน-EU ร่วมกันปกป้องระบบการค้าพหุภาคีตามกฎเกณฑ์ 

และยึดมั่นในการเปิดเสรีและอำนวยความสะดวกทางการค้า 

จะช่วยเพิ่มเสถียรภาพและความแน่นอนให้กับเศรษฐกิจและการค้าโลกได้มากขึ้น


ขณะที่ เชฟโชวิชกล่าวว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้าระหว่างประเทศ 

และ EU พร้อมที่จะทำงานร่วมกับสมาชิก WTO อื่น ๆ รวมถึงจีน เพื่อให้การค้าระหว่างประเทศดำเนินไปได้อย่างปกติ


เชฟโชวิชกล่าวเสริมว่า EU ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้ากับจีน 

และพร้อมที่จะเพิ่มการพูดคุยสื่อสารกับจีน ส่งเสริมการเข้าถึงตลาด การลงทุน และความร่วมมือภาคอุตสาหกรรมระหว่างสองฝ่ายให้มากขึ้น


ตามแถลงการณ์ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเริ่มหารือประเด็นการเข้าถึงตลาดโดยเร็วที่สุด 

และจะเริ่มเจรจาทันทีเกี่ยวกับข้อตกลงด้านราคารถยนต์ไฟฟ้า (EV) 

รวมถึงประเด็นความร่วมมือด้านการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ระหว่างสองฝ่าย


นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังสนับสนุนการฟื้นฟูกลไกการหารือเกี่ยวกับมาตรการเยียวยาทางการค้าระหว่างจีน-EU 

เพื่อพูดคุยในประเด็นการเบี่ยงเบนทางการค้า (trade diversion) และบริหารจัดการข้อพิพาททางการค้าอย่างเหมาะสม


แถลงการณ์ยังระบุด้วยว่า ทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะกระชับการสื่อสารอย่างต่อเนื่องภายใต้กรอบ WTO 

ร่วมกันผลักดันการปฏิรูป WTO และสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีโดยมี WTO เป็นแกนกลางต่อไป









"ประธานาธิบดีทรัมป์" ชื่นชมผลงานของตัวเอง


ในฟากฝั่งของสหรัฐ ฯ ประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้เดินเกมครั้งนี้ก็ยังคงมั่นใจ และเพิ่มเฉยต่อทุกการตอบโต้ 

พร้อมย้ำชัดเจนว่า ภาษีนำเข้าเป็น “ยา” ต่างชาติต้องยอมจ่าย แม้หุ้นจะตกแค่ไหนก็ไม่สำคัญ 

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ยืนกรานว่ารัฐบาลต่างชาติจะต้องจ่ายเงินจำนวนมาก 

หากต้องการยกเลิกมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ซึ่งเขาเปรียบเทียบว่าเป็นเสมือน “ยารักษาโรค”

ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2568 

“ผมไม่ได้อยากให้อะไรมันแย่ลง แต่บางครั้งคุณต้องกินยาเพื่อแก้ปัญหา” 

โดยไม่มีท่าทีกังวลใดๆ แม้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะสูญเสียมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์แล้วก็ตาม


ทรัมป์เผยว่า ได้พูดคุยกับผู้นำจากยุโรปและเอเชียในช่วงสุดสัปดาห์ 

ซึ่งพยายามโน้มน้าวให้เขาลดอัตราภาษีนำเข้าที่สูงถึง 50% 

แต่เขายืนยันว่า จะไม่มีการเจรจาใดๆ หากประเทศเหล่านั้นไม่ยอมจ่ายภาษีที่เหมาะสมให้กับสหรัฐฯ เป็นประจำทุกปี

ขณะที่ข้อมูลจากรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ กล่าวว่า นับตั้งแต่มีการประกาศมาตรการภาษี 

ก็มีรัฐบาลกว่า 75 ประเทศได้ติดต่อขอเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ทรัมป์อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบในการเจรจา


อย่างไรก็ตามแม้ประธานาธิบดีทรัมป์ จะมองว่าตัวเองหรือสหรัฐฯมีแต้มต่อในวันนี้ 

แต่ในมุมมองของหลายฝ่าย ยังคงย้ำชัดเจนว่า

ในสงครามการค้า จะไม่มีใครเป็นฝ่ายชนะที่แท้จริง 

และคนที่พ่ายแพ้หรือเจ็บช้ำที่สุดคือประชากรโลก จากเศรษฐกิจที่พังทลายลง 

เลขาฯ UN เตือน ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้า


" ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้า "

คือคำย้ำเตือนจากทางทาง UN 


สเตฟาน ดูจาริก โฆษกของอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) 

อ้างอิงคำเตือนของกูเตอร์เรสที่ระบุว่าไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้า 

ระหว่างตอบคำถามถึงความเห็นของเลขาธิการยูเอ็นเกี่ยวกับนโยบายภาษีล่าสุดของทำเนียบขาว


ดูจาริกกล่าวว่าความกังวลของเราขณะนี้คือกลุ่มประเทศเปราะบางที่สุด 

ซึ่งมีเครื่องมือรับมือสถานการณ์ปัจจุบันน้อยที่สุด 

พร้อมชี้ว่าเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ 

จะได้รับผลกระทบเชิงลบจากสงครามการค้าโลก


ทั้งนี้ การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) 

ออกแถลงการณ์เตือนเมื่อ วันที่ 4 เมษายน 2568  

ว่าภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ กำหนดนั้นจะส่งผลเสียต่อประเทศเปราะบาง 

พร้อมเสริมว่าระบบการค้าโลกกำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤติ 

ซึ่งคุกคามการเติบโต การลงทุน และความก้าวหน้าของการพัฒนา 

โดยเฉพาะสำหรับเศรษฐกิจที่เปราะบางที่สุด 

ขณะที่กลุ่มประเทศเศรษฐกิจรายใหญ่ก็กำลังเตรียมกำหนดภาษีใหม่ครั้งใหญ่


WTO ชี้ “ภาษีทรัมป์”กระทบหนัก คาดการค้าโลกติดลบ 1 %


เช่นเดียวกับองค์การการค้าโลก หรือ WTO 

ล่าสุด เอ็นโกซี โอคอนโจ-อิเวลา ผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก (WTO) 

แสดงความกังวลเกี่ยวกับการลดลงของปริมาณการค้าโลก และการเกิดสงครามการค้า 


พร้อมกล่าวว่า มาตรการภาษีของสหรัฐจะส่งผลกระทบอย่างมี “นัยสำคัญ”ต่อการค้าโลก 

และแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

WTO คาดการณ์ว่า มาตรการเที่สหรัฐบังคับใช้

จะส่งผลให้ปริมาณการค้าโลกลดลงราว 1% ในปีนี้



IMF ชี้ “ภาษีทรัมป์“ ทำเศรษฐกิจโลก เสี่ยง เรียกร้องเจรจาสร้างสรรค์


ขณะที่ IMF คริสตาลินา กอร์เกียวา กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) 

ออกแถลงการณ์เตือนว่า มาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ 

จะส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ 

โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่การเติบโตทางเศรษฐกิจอ่อนแอลง 

พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาและประเทศคู่ค้าทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์

เพื่อแก้ไขความตึงเครียดทางการค้าและลดความไม่แน่นอน 



ไม่มีผู้ชนะ ในสงครามการค้า หมายความว่ามีแต่ผู้แพ้ ที่ไม่ใช่แค่จีน หรือแค่สหรัฐ

แต่หมายรวมถึงทั้งโลกใบนี้ เพราะเศรษฐกิจต่างก็เชื่อมโยงกัน

ทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงเราไทยเองก็ต้องจับตาผลกระทบอย่างใกล้ชิดเช่นกัน   

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง