"เหลื่อมล้ำ"โลกรุนแรง รวยที่สุดไม่ถึง 6 หมื่นคน

รายงานความเหลื่อมล้ำโลก 2569 (World Inequality Report – WIR 2026) ถือเป็นชุดรายงานหลักฉบับที่สาม ต่อเนื่องจากฉบับปี 2561 และ 2565 รายงานเหล่านี้อาศัยงานวิจัยจากนัก วิชาการกว่า 200 คนทั่วโลก ซึ่งเป็นสมาชิกของศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำโลก (World Inequality Lab) และมีส่วนร่วมในการพัฒนาฐานข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดว่าด้วยพลวัตทางประวัติศาสตร์ของความเหลื่อมล้ำระดับโลก
โดยในรายงานความเหลื่อมล้ำโลก 2569 พบว่าโลกมีความเหลื่อมล้ำรุนแรง จากข้อเท็จจริงที่โดดเด่นที่สุดจากข้อมูล คือความเหลื่อมล้ำยังคงอยู่ในระดับที่สูงมากอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ "ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้" (Income) ซึ่งจะวัดจากรายได้รวมเงินบำนาญเกษียณอายุ และเงินช่วยเหลือกรณีว่างงาน และก่อนหักภาษีและเงินโอนอื่นๆ
โดยพบว่าในปัจจุบันผู้มีรายได้สูงที่สุด 10% แรกของประชากรโลกมีรายได้รวมกันมากกว่าประชากรที่เหลืออีก 90% ทั้งหมด ( จากกราฟิกคือกลุ่มที่รวยที่สุด 10% มีรายได้ 53% ของรายได้โลกในปี 2568) ในขณะที่ประชากรครึ่งล่างของโลก (กลุ่มรายได้น้อยที่สุด 50% )ได้รับส่วนแบ่งรายได้รวมกันไม่ถึง 10% ของรายได้โลก
ด้าน "ความมั่งคั่ง" ยิ่งกระจุกตัวมากกว่าเดิม โดย 10% บนสุดถือครองความมั่งคั่งถึง 3 ใน 4 ของความมั่งคั่งโลกทั้งหมด หรือมีส่วนแบ่ง 75% ของสินทรัพย์โลก ขณะที่ครึ่งล่างมีเพียง 2% ของสินทรัพย์โลก
ทั้งนี้ ประชากรที่มีสินทรัพย์สูงที่สุด ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นกลุ่มเดียวกับประชากรที่มีรายได้มากที่สุด
สถานการณ์ยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อมองไปเหนือกลุ่ม 10% บนสุด พบว่ากลุ่มคนร่ำรวยที่สุด 0.001% ของโลก ซึ่งมีจำนวนไม่ถึง 60,000 คน ควบคุมความมั่งคั่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของมนุษยชาติรวมกันถึง 3 เท่า
โดยส่วนแบ่งสินทรัพย์ครัวเรือนของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเกือบ 4% ในปี 2538 เป็นมากกว่า 6% ในปัจจุบัน ขณะที่ส่วนแบ่งทรัพย์สินของกลุ่มที่จนที่สุด 50% คงอยู่ที่ 2% ตั้งแต่ปี 2543 หลังจากเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงแรก สะท้อนถึงความต่อเนื่องของความเหลื่อมล้ำการกระจุกตัวนี้ไม่เพียงแต่คงอยู่ในระดับเดิม แต่ยังกําลังรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ในรายงานฯ ยังระบุว่า ความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งในระดับสุดขั้วกําลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา โดยความมั่งคั่งของมหาเศรษฐี และ ผู้ถือครองทรัพย์สินหลักร้อยล้าน (centi- millionaires) เพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณปีละ 8% เกือบ 2 เท่าของอัตราการเติบโตของความมั่งคั่งของประชากรครึ่งล่าง แม้ว่ากลุ่มที่ยากจนที่สุดจะมีการปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ถูกกลบด้วยการสะสมความมั่งคั่งที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาลของกลุ่มบนสุด
ผลลัพธ์ คือโลกที่คนส่วนน้อยเพียงหยิบมือมีอำนาจทางการเงินมหาศาลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่ประชากรนับพันล้านคนยังคงถูกกัน ออกจากความมั่นคงทางเศรษฐกิจพื้นฐาน
นอกจากนี้ รายงานยังนำเสนอการกระจายของรายได้และความมั่งคั่งภายในแต่ละภูมิภาคและประเทศ ซึ่งพิจารณาจากอัตราส่วนรายได้ของกลุ่มบนสุด 10% ต่อกลุ่มล่าง 50% (T10/B50) และตั้งคําถามว่าโดยเฉลี่ยแล้วกลุ่มบนสุด 10% มีรายได้มากกว่าครึ่งล่างกี่เท่า
ผลการศึกษาพบว่ายุโรปและหลายส่วนของอเมริกาเหนือ รวมไปถึงโอเชียเนีย เป็นภูมิภาคที่มีความเหลื่อมล้ำน้อยที่สุด ( 09-19 เท่า : ในแผนที่จะเป็นสีเหลืองอ่อนสุด) แม้ว่าภายในประเทศกลุ่มบนก็ยังคงได้รับรายได้มากกว่าครึ่งล่างอย่างมาก
ขณะที่ลาตินอเมริกา แอฟริกาตอนใต้ซาฮารา ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ มีลักษณะร่วมกันคือรายได้ของกลุ่มล่าง 50% อยู่ในระดับตํ่า ส่วนรายได้กระจุกตัวสูงมากในกลุ่มบน ส่งผลให้เกิดช่องว่างรายได้ T10/B50 สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก (41-103 เท่า : ในแผนที่จะเป็นสีแดง) อาทิ ในบราซิล กลุ่มที่รวยที่สุด 10% มีรายได้เป็น 65 เท่าของกกลุ่มที่จดที่สุด 50% อัตราส่วนนี้อยู่ที่ 17 เท่าในฝรั่งเศส
สำหรับประเทศไทย ก็อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุด ( ในภาพแผนที่ประเทศไทยจะเป็นสีแดง) และมีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชีย
ทั้งนี้ รายงานฯระบุว่า สำหรับประเทศไทยความเหลื่อมล้ำยังคงสูงและเพิ่มขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยปี 2567 ผู้มีรายได้สูงสุด 10% แรกของประชากรทั้งหมด ครอบครองรายได้ทั้งหมด 52% ในขณะที่ผู้มีรายได้ต่ำสุด 50% ได้รับเพียง 11%และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างผู้มีรายได้สูงสุด 10% กับกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำสุด 50% ของประเทศไทยแล้ว จะพบว่าช่องว่างของรายได้กว้างขึ้นจาก 42.1 % ในปี 2557 เป็น 46.8 % ในปี 2567 บ่งชี้ถึงความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น
ส่วนการกระจุกตัวของความมั่งคั่งยิ่งรุนแรงขึ้น โดยผู้มีรายได้สุด 10% ถือครองความมั่งคั่งทั้งหมด 65% และผู้มีรายได้สูงที่สุด 1% ถือครอง 32% ของความมั่งคั่งทั้งหมด โดยรวมแล้ว ทั้งรายได้และความมั่งคั่งในประเทศไทยมีการกระจุกตัวสูง และความเหลื่อมล้ำยังคงทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ รายงานความเหลื่อมล้ำโลก 2569 ได้ขยายขอบเขตการวิเคราะห์เพิ่มเติม โดยสํารวจมิติใหม่ของความเหลื่อมล้ำที่เป็นคุณลักษณะของศตวรรษที่ 21 อาทิ ความเหลื่อมล้ำและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
รายงานฯ ได้ชี้ให้เห็นว่าการมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกระจายตัวอย่างไม่เท่าเทียมกันอย่างมาก แม้การถกเถียงในสาธารณะมักจะเน้นถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการบริโภค (Consumption) โดยงานวิจัยใหม่เผยให้เห็นว่าการถือครองทุนส่วนตัว (Private ownership) ก็เป็นอีกตัวกำหนดสำคัญของความเหลื่อมล้ำ
โดยสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ของโลกที่เกิดจากประชากรกลุ่มล่าง 50% และกลุ่มบนสุด 1% ของโลก พบว่าประชากรที่จนที่สุดครึ่งหนึ่งของโลกมีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกี่ยวข้องกับการถือครองทุนส่วนตัว หรือการปล่อย GHG โดยตรงเพียง 3% ขณะที่กลุ่มบนสุด 10% มีส่วนถึง 77% และกลุ่ม 1% บนสุดเพียงอย่างเดียวมีสัดส่วนถึง 41% ของการปล่อยก๊าซจากการถือครองทุนส่วนบุคคลเกือบ 2 เท่าของการปล่อยก๊าซทั้งหมดของประชากร 90% ที่เหลือรวมกัน( การปล่อย GHG ถูกแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ การปล่อยตามการบริโภค หรือ Consumption : เป็นการปล่อยที่เกิดจากการผลิตซึ่งถูกจัดสรรให้กับผู้บริโภคปลายทาง) และการปล่อยตามการเป็นเจ้าของทรัพย์สินส่วนบุคคล หรือ Private Ownership : เป็นการปล่อย GHG ใน Scope 1 หรือการปล่อย GHG โดยตรงจากสถานประกอบการและสินทรัพย์ส่วนบุคคล)
ความเหลื่อมล้ำนี้ สะท้อนถึง “ความเปราะบาง” อย่างชัดเจน โดยกลุ่มที่ปล่อยก๊าซ GHG น้อยที่สุด (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชากรในประเทศรายได้ตํ่า) กลับเป็นผู้ที่เผชิญกับความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางภูมิอากาศมากที่สุด ขณะที่กลุ่มที่ปล่อยก๊าซมากที่สุดกลับมีทรัพยากรและศักยภาพในการป้องกันปรับตัว หรือ หลีกเลี่ยงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีกว่าอย่างมาก ความรับผิดชอบที่ไม่เท่าเทียมกันนี้จึงเป็นความไม่เท่าเทียมของ “ความเสี่ยง” เช่นกัน ความเหลื่อมล้ำด้านภูมิอากาศเป็น ทั้งวิกฤตสิ่งแวดล้อมและวิกฤต ทางสังคมในเวลาเดียวกัน
ที่สำคัญตัวเลขนี้เน้นให้เห็นว่าวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแยกออกจากปัญหาการกระจุกตัวของความมั่งคั่งไม่ได้ การแก้ไขปัญหานี้จึงต้องอาศัยการปรับโครงสร้างระบบการเงินและการลงทุนอย่างเจาะจง ซึ่งเป็นระบบที่ขับเคลื่อนทั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและความเหลื่อมล้ำไปพร้อมกัน
ด้านความเหลื่อมล้ำทางเพศสภาพ เป็นอีกมิติใหม่ของความเหลื่อมล้ำที่เป็นคุณลักษณะของศตวรรษที่ 21 ที่รายงานฯ ทำการสำรวจและวิเคราะห์เพิ่มเติม โดยพบว่าหนึ่งในช่องว่างที่แพร่หลายที่สุด คือ ความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย โดยในระดับโลกผู้หญิงได้รับส่วนแบ่งรายได้แรงงานสูงกว่า 1 ใน 4 เพียงเล็กน้อย และสัดส่วนนี้แทบไม่เปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่ ปี 2533
เมื่อพิจารณาตามภูมิภาคในปี 2568 ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ผู้หญิงได้รับรายได้แรงงานเพียง 16% ในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 20% ในแอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา 28% และในเอเชียตะวันออก 34% ส่วนยุโรปอเมริกาเหนือ และโอเชียเนีย รวมถึงรัสเซียและเอเชียกลาง แม้ส่วนแบ่งรายได้ของผู้หญิงมีสัดส่วนสูงกว่า แต่ผู้หญิง ก็ยังได้รับเพียงประมาณ 40% ของรายได้แรงงาน เท่านั้น จะเห็นว่าช่องว่างด้านรายได้แรงงานระหว่างเพศยังอยู่ในระดับที่สูงในทุกภูมิภาคทั่วโลก ถึงแม้ว่าจะปรับลดลงบ้างแล้วในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา
นอกจากนี้ โดยเฉลี่ยโลก ผู้หญิงยังคงทำงานมากกว่าแต่ได้รับรายได้น้อยกว่าผู้ชาย โดยผู้หญิงทำงานเฉลี่ย 53 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มากกว่าผู้ชายซึ่งทำงานเฉลี่ย 43 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เมื่อรวมทั้งงานการผลิต (ได้รับค่าจ้าง) และงานบ้านและงานดูแลที่ไม่ได้รับค่าจ้าง
ทั้งนี้ งานเพื่อการผลิต :หมายถึงกิจกรรมที่มีค่าจ้างและถูกบันทึกอยู่ในบัญชีประชาชาติ และงานบ้าน :หมายถึงงานดูแลและงานบ้าน รวมงานทำความสะอาด การทำอาหาร และงานดูแลอื่นๆ
ทั้งนี้ประเด็นความเหลื่อมล้ำทางเพศ ปัญหายิ่งเห็นเด่นชัดมากขึ้นเมื่อพิจารณางานที่มองไม่เห็นและไม่ได้รับค่าตอบแทน (งานดูแลและงานบ้าน) ซึ่งผู้หญิงรับเป็นภาระมากกว่าผู้ชายอย่างไม่สมส่วน พบว่าเมื่อรวมงานบ้านและงานดูแลที่ไม่ได้รับค่าจ้าง "ช่องว่างรายได้ยิ่งกว้างขึ้นอย่างชัดเจน"
โดยผู้หญิงได้รับรายได้เพียง 32% ของรายได้ต่อชั่วโมงที่ผู้ชายได้รับเมื่อรวมทั้งงานที่ได้รับค่าจ้างและไม่ได้รับค่าจ้าง และได้รับรายได้เพียง 61% ของรายได้ต่อชั่วโมงของผู้ชายหากไม่รวมงานที่ไม่ได้รับค่าตอบแทน จะเห็นว่า ภาระที่ผู้หญิงต้องเผชิญทั้งชั่วโมงการทำงานที่สูงควบคู่กับค่าตอบแทนที่ต่ำกว่า ทำให้จํากัดโอกาสในอาชีพของผู้หญิง ลดทอนการมีส่วนร่วมทางการเมือง และทำให้การสะสมความมั่งคั่งช้าลง ดังนั้นความเหลื่อมล้ำทางเพศจึงไม่ใช่แค่เรื่องของความเป็นธรรม แต่เป็น “ความไร้ ประสิทธิภาพเชิงโครงสร้าง” ในระดับเศรษฐกิจด้วย
นอกจากนี้ ความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่ เป็นอีกมิติใหม่ของความเหลื่อมล้ำที่เป็นคุณลักษณะของศตวรรษที่ 21 ที่รายงานวิเคราะห์เพิ่มเติมระบุว่า ความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่อยู่ระดับสูง โดยโลกถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มรายได้ที่ชัดเจน ได้แก่ กลุ่มรายได้สูงอย่างอเมริกาเหนือ โอเชียเนีย และยุโรป //กลุ่มรายได้ปานกลางอย่างรัสเซีย เอเชียกลางเอเชียตะวันออก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ // และภูมิภาคที่มีประชากรจำนวนมาก ซึ่งรายได้เฉลี่ยยังคงอยู่ในระดับตํ่า เช่น ลาตินอเมริกา เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแอฟริกาตอนใต้ซาฮารา
พบว่า คนทั่วไปในอเมริกาเหนือและโอเชียเนีย มีรายได้เฉลี่ยประมาณ 13 เท่าของคนในแอฟริกาตอนใต้ซาฮารา และประมาณ 3 เท่าของค่าเฉลี่ยทั่วโลก ขณะที่ประชากรหนึ่งคนในเอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่ประมาณ 600 ยูโร ในขณะที่ประชากรหนึ่งในคนยุโรป มีรายได้เฉลี่ยนต่อเนดือนอยู่ที่ 2,900 ยูโร ซึ่งมากกว่าเป็นจำนวน 4.9 เท่า สะท้อนว่าช่องว่าทางด้านรายได้ระหว่างภูมิภาคอยู่ในระดับสูงอย่างมาก
จะเห็นว่าความเหลื่อมล้ำในปัจจุบันไม่ได้จํากัดอยู่แค่รายได้หรือความมั่งคั่ง แต่แทรกซึมอยู่ในทุกด้านของชีวิตเศรษฐกิจและสังคม ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเหลื่อมล้ำทางเพศสภาพ และความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่ เป็นต้น
ทั้งนี้ รายงานฉบับนี้เรียกร้องให้เกิดความร่วมมือระดับโลกอีกครั้งเพื่อแก้ไขรากเหง้าของความแตกแยกเหล่านี้ ผ่านการเก็บภาษีโครงสร้างก้าวหน้า การลงทุนในศักยภาพมนุษย์ การสร้างความรับผิดชอบด้านภูมิอากาศที่ผูกโยงกับการถือครองทุนส่วนตัว และการสร้างสถาบันทางการเมืองที่มีความครอบคลุม สามารถฟื้นฟูความไว้วางใจและความสมานฉันท์ทางสังคมได้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
