โลกเข้าสู่ภาวะอันตราย เสี่ยงเจอภัยพิบัติรุนแรงถี่ขึ้น

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โลกเผชิญกับอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมถึง 1.6 องศาเซลเซียส ข้อมูลจากหน่วยงานบริการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหภาพยุโรป (Copernicus Climate Change Service – C3S) ชี้ว่า ไม่เพียงแต่ทั่วโลกจะร้อนขึ้นอย่างผิดปกติ ยุโรปยังพบกับเดือนมีนาคมที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมา ส่งผลให้เกิดทั้งภัยแล้งรุนแรงและฝนตกหนักในพื้นที่ต่าง ๆ

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า ทุกๆ องศาที่เพิ่มขึ้นย่อมหมายถึงความถี่และความรุนแรงของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เพิ่มขึ้น เช่น คลื่นความร้อน น้ำท่วม และภัยแล้ง โดยมีหลักฐานจากกรณีในเอเชียกลางที่เผชิญคลื่นความหนาวและความร้อนสลับกันอย่างรุนแรง รวมถึงฝนตกหนักผิดปกติในอาร์เจนตินา นอกจากนี้ น้ำแข็งทะเลในอาร์กติกก็ลดลงต่ำที่สุดสำหรับเดือนมีนาคม นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกดาวเทียมในปี 1979

แม้ว่าความเสียหายจาก climate change จะเพิ่มขึ้นทั่วโลก แต่การดำเนินนโยบายลดคาร์บอนกลับลดน้อยถอยลงในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาในยุคของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเคยประกาศถอนตัวจากข้อตกลงปารีสและเรียก climate change ว่า "เรื่องหลอกลวง" ทั้งที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชัดเจนว่าเป็นวิกฤตที่เกิดจากมนุษย์และส่งผลกระทบร้ายแรงต่อโลก

ข้อตกลงปารีสมีเป้าหมายเพื่อจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสจากยุคก่อนอุตสาหกรรม เพราะถือว่าเป็นระดับที่ยังพอหลีกเลี่ยงหายนะทางสิ่งแวดล้อมได้ แต่ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า โลกอาจกำลังหลุดออกจากเส้นทางนั้น นักวิทยาศาสตร์จากสถาบัน Grantham Institute ระบุว่า การที่โลกอยู่ที่ระดับ 1.6 องศาแล้วในขณะนี้ แสดงให้เห็นว่าเราอยู่ในจุดอันตราย และเร่งเร้าให้ทุกประเทศเร่งดำเนินการลดคาร์บอนอย่างเร่งด่วนก่อนจะสายเกินไป