“ญี่ปุ่น” อากาศดี ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ รัฐ–ประชาชนเอาจริงทั้งระบบ

ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Sonthi Kotchawat เรื่องทำไมประเทศญี่ปุ่นอากาศดี รัฐบาลและประชาชนเขาทำอย่างไร
ประเทศญี่ปุ่นสามารถรักษาคุณภาพอากาศให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีได้จากการวาง “ระบบ” อย่างรอบด้าน ไม่ได้พึ่งเพียงจิตสำนึกของประชาชนเท่านั้น แต่เป็นผลจากนโยบาย กฎหมาย และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง
1. ลดแรงจูงใจในการใช้รถยนต์ส่วนตัว
รัฐบาลลงทุนในระบบคมนาคมขนส่งแบบ “บูรณาการ” ทำให้ประชาชนไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว ระบบขนส่งมวลชนในเมืองทั้งรถไฟ รถเมล์ปรับอากาศ เลนจักรยาน และทางเดินเท้าที่กว้างขวาง ครอบคลุมพื้นที่ทั่วถึง สะดวก ประหยัดทั้งเงินและเวลา ทำให้การเดินทางในเมืองสามารถเดินหรือใช้จักรยานได้เกือบทุกแห่ง และลดการพึ่งพารถยนต์ลงอย่างมาก
2. กฎหมายควบคุมการครอบครองรถยนต์อย่างเข้มงวด
ประชาชนไม่สามารถซื้อรถยนต์ได้ หากไม่มีที่จอดรถเป็นของตนเองหรือเช่าที่จอดรถไว้ รวมถึงห้ามจอดรถข้างทางหน้าบ้านโดยเด็ดขาด มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ (มีข้อยกเว้นพิเศษบางกรณี เช่น รถขนาดเล็ก K-Car) นอกจากนี้ ภาษีต่ออายุรถยนต์จะเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะหลังปีที่ 6 ภาษีจะสูงเกือบเท่าราคารถยนต์ที่ซื้อมา การสอบใบขับขี่เข้มงวด และค่าที่จอดรถในเมืองมีราคาสูง ส่งผลให้จำนวนรถยนต์บนท้องถนนลดลง และมลพิษทางอากาศจากการคมนาคมลดลงตามไปด้วย
ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังสนับสนุนให้บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น รถยนต์พลังงานไฮโดรเจน Toyota Mirai รถยนต์ไฟฟ้า Nissan Leaf หรือ Tesla ซึ่งกำลังเติบโตและมีแนวโน้มทดแทนรถยนต์ใช้น้ำมันในอนาคต
3. ควบคุมคุณภาพรถโดยสารสาธารณะ
รถโดยสารประจำทางในญี่ปุ่นต้องได้รับการตรวจสภาพอย่างสม่ำเสมอ คันใดที่เก่าเกินจะถูกปลดระวาง ส่วนรถรุ่นใหม่ถูกกำหนดให้ปล่อยไอเสียน้อยลง จึงแทบไม่พบรถโดยสารสาธารณะที่ปล่อยควันดำบนท้องถนน
4. ควบคุมฝุ่นจากไซต์ก่อสร้างอย่างเคร่งครัด
ทุกพื้นที่ก่อสร้างต้องมีการปิดคลุมอาคารเพื่อลดการฟุ้งกระจายของฝุ่นละออง มีการตรวจสอบรถบรรทุกไม่ให้ปล่อยควันดำหรือไอเสียเกินมาตรฐาน และรถบรรทุกที่ออกจากไซต์ก่อสร้างต้องล้างทำความสะอาดล้อรถทุกครั้ง
5. เพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง
รัฐบาลญี่ปุ่นออกกฎหมายพัฒนาพื้นที่สีเขียวและสวนสาธารณะทั้งในเมืองและนอกเมืองหลายฉบับ แม้กรุงโตเกียวซึ่งมีประชากรมากกว่าสิบล้านคน ยังมีพื้นที่สีเขียวเฉลี่ยมากกว่า 12 ตารางเมตรต่อคน สูงกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลกที่กำหนดไว้ 9 ตารางเมตรต่อคน (กรุงเทพฯ ประมาณ 6.7 ตารางเมตรต่อคน) นอกจากนี้ หลายเมืองทำได้ดียิ่งกว่าโตเกียว เช่น เมืองเซ็นได ที่ปลูกต้นไม้สูงใหญ่ริมถนนทั่วเมือง ทำให้ร่มรื่นและอากาศดี
6. โครงสร้างพลังงานและการควบคุมอุตสาหกรรม
ญี่ปุ่นหันมาใช้โรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ตั้งแต่ปี 1960 เพื่อลดการพึ่งพาโรงไฟฟ้าถ่านหินที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โรงงานอุตสาหกรรมถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด ทุกขั้นตอนต้องโปร่งใส ลดช่องว่างการคอร์รัปชัน และมีบทลงโทษสูง หากฝ่าฝืนกฎหมาย เช่น กฎหมาย Absolute Liability Law ปี 1972 ที่กำหนดให้ผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายทั้งหมด ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม โดยสื่อมวลชนญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบ
7. ภาคประชาชนที่เข้มแข็ง (Active Citizen)
ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษรวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง มีการยื่นหนังสือร้องเรียนและหารือกับหน่วยงานรัฐท้องถิ่น เช่น ในปี 1973 มีการจัดตั้งองค์กร National Liaison Council for Pollution Victims Organizations เพื่อประสานงานในระดับภูมิภาค นำไปสู่การผลักดันนโยบายและมาตรการรัฐที่เข้มข้นมากขึ้น
คุณภาพอากาศที่ดีของประเทศญี่ปุ่นไม่ได้เกิดจาก “จิตสำนึก” ของประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการออกแบบ “ระบบ” ที่ชัดเจน เข้มงวด และเอื้อต่อการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในทุกมิติ
ที่มา: เฟซบุ๊ก Sonthi Kotchawat
_____
#TNNEARTH #พยากรณ์อากาศ #พยากรณ์อากาศวันนี้ #สภาพอากาศ #คุณภาพอากาศ #สิ่งแวดล้อม #ญี่ปุ่น #ปัญหาสิ่งแวดล้อม
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
