ทรัมป์ ‘บุรุษสันติภาพ’ แทรกแซงหรือหวังดี หยุดสู้รบ ‘ไทย-กัมพูชา’

เมื่อพูดถึงที่สุดแห่งปี 2025 จะไม่พูดถึงเรื่องความขัดแย้งไทย-กัมพูชา คงเป็นไปไม่ได้ เสียงปืนดังสนั่น เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม คร่าชีวิตทั้งทหาร และพลเรือน หลายสิบราย
ท่ามกลางโลกที่ความขัดแย้งในหลายภูมิภาคพุ่งขึ้นสู่จุดเดือด วิกฤตชายแดนไทย–กัมพูชา ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาระดับภูมิภาค เพราะ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทเป็นตัวกลางการเจรจา หวังให้คู่ขัดแย้งกลับสู่โต๊ะพูดคุย
แต่บทบาทของเขา คือความจริงใจอย่างแท้จริง หรือเป็นส่วนหนึ่งของเกมการเมืองระดับโลกกันแน่
ข้อตกลงหยุดยิง ที่ไม่หยุดยิง
แม้ ไทย-กัมพูชา จะลงนามข้อตกลง หยุดยิง ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่กลับไม่ใช่จุดสิ้นสุดของความขัดแย้ง เพราะ 2 ประเทศ ปะทะกันอีกครั้งในต้นเดือนธันวาคม
ข้อตกลงหยุดยิงช่วยลดระดับความรุนแรงลงได้ในระยะสั้น แต่ลึกลงไป ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ฝังรากลึกยาวนานระหว่างไทยและกัมพูชาได้ นั่นคือข้อพิพาทด้านพรมแดน
แล้วยังมีประเด็นความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในของทั้ง 2 ประเทศ สุมกระแสชาตินิยมให้ยิ่งโหมรุนแรง
“ทรัมป์” ผู้นำแห่งสันติภาพ ?
บทบาทของมหาอำนาจภายนอกอย่างสหรัฐฯ ถูกจับตามองมากขึ้น โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของทรัมป์ ที่อ้างความสำเร็จหยุดสงคราม ทั้งที่ความเป็นจริง ไทย-กัมพูชา ยังรบกันไม่หยุด
บทวิเคราะห์ของ The Diplomat ระบุ เหตุผลที่ “ทรัมป์” ต้องการเข้ามามีบทบาทเป็นตัวกลางเพื่อไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างไทย และกัมพูชา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า เขาต้องสร้างภาพลักษณ์เป็น “ผู้นำผู้สร้างสันติภาพ”
สะท้อนว่า การมีบทบาทของทรัมป์อาจมุ่งเน้นไปที่ ผลลัพธ์เชิงสัญลักษณ์และภาพลักษณ์ทางการเมือง มากกว่าการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในระยะยาว
โดยเฉพาะเมื่อการอ้างบทบาทในการ “หยุดสงคราม” สามารถช่วยเพิ่มเครดิตทางการเมืองของเขา และสอดรับกับความพยายามในการนำเสนอตนเองในฐานะผู้นำที่คู่ควรกับ รางวัลโนเบลสันติภาพ
นอกจากนี้ ทรัมป์มองนโยบายต่างประเทศเป็นหลักผ่านกรอบความคิดเชิง “การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์” ให้ความสำคัญกับการใช้พลังต่อรองทางเศรษฐกิจ มากกว่ายุทธศาสตร์ระยะยาว
ทำไมสหรัฐฯ ไม่เห็นใจไทยเท่ากัมพูชา
แม้สหรัฐฯ พยายามวางตัวเป็นกลาง แต่การสื่อสารของทรัมป์ ดูเอนเอียงไปทางกัมพูชามากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการบอกว่า ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดเป็นเพียงอุบัติเหตุ หรือการกล่าวในทำนองว่าไทยเป็นฝ่ายเริ่มต้นความขัดแย้ง
เพราะอะไร “ทรัมป์” ดูเหมือนจะไม่เห็นใจไทยมากนัก ทั้งที่ไทยเป็นพันธมิตรเก่าแก่กับสหรัฐฯ มาอย่างยาวนานกว่า 200 ปี
บทวิเคราะห์จาก สถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค ชี้ว่า ปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งมาจากมุมมองของสหรัฐฯ ที่เห็นว่าไทยดูใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น
ไม่ว่าจะการทะลักเข้ามาของสินค้าจีน การเป็นฐานผลิตและส่งออก ที่อาจเข้าข่ายสวมสิทธิ เพื่อประโยชน์ทางภาษี
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็กำลังพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับกัมพูชา จึงทำให้สหรัฐฯ ไม่แสดงจุดยืนชัดเจนว่า เข้าข้างไทย
ไทย-กัมพูชาจะหยุดความขัดแย้งอย่างยั่งยืนได้อย่างไร
บทความจาก East Asia Forum ระบุว่า การสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนระหว่างไทยและกัมพูชา จำเป็นต้องอาศัยมากกว่าข้อตกลงเชิงสัญลักษณ์ โดยเฉพาะ 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่
การจัดการเหตุการณ์ตามแนวชายแดนอย่างรอบคอบ
การเก็บกู้และทำลายทุ่นระเบิดอย่างปลอดภัย
การส่งตัวผู้ถูกควบคุมตัวกลับประเทศอย่างมีมนุษยธรรม
การหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำหรือการกระทำที่ยั่วยุและเพิ่มความตึงเครียด
บทวิเคราะห์ยังชี้ว่า สหรัฐฯ สามารถมีบทบาทสนับสนุนได้ หากเดินหน้าการทูตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เช่น การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การช่วยเหลือทางการแพทย์ และการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้า ซึ่งยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นในบริบทที่อิทธิพลของจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
และถ้าหากต้องการให้สันติภาพดำรงอยู่ได้จริง กัมพูชา ไทย อาเซียน และหุ้นส่วนจากภายนอกภูมิภาค จำเป็นต้องมีบทบาทและมีส่วนร่วมต่อกระบวนการสันติภาพอย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญที่สุด ทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องมีความกล้าหาญทางการเมืองในการเผชิญหน้าและแก้ไขรากเหง้าของปัญหาพรมแดนที่ยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษ เมื่อถึงจุดนั้นเท่านั้น การหยุดยิงที่เปราะบางจึงจะสามารถพัฒนาไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
https://eastasiaforum.org/2025/11/19/thailand-cambodia-border-agreement-on-shaky-ground/
https://www.iseas.edu.sg/wp-content/uploads/2025/10/ISEAS_Perspective_2025_87.pdf
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
