รีเซต

ไทยพร้อมแค่ไหน ก้าวสู่สังคมสูงวัย ปี’ 64

ไทยพร้อมแค่ไหน ก้าวสู่สังคมสูงวัย ปี’ 64
TNN ช่อง16
5 กันยายน 2563 ( 13:59 )
1.6K
ไทยพร้อมแค่ไหน ก้าวสู่สังคมสูงวัย ปี’ 64


โครงสร้างประชากรไทยตั้งแต่ปี 2503-2573

ในช่วง 70 ปีที่ผ่านมาโครงสร้างประชากรของไทย ปรับเปลี่ยนจากอย่างมาก โดยมีจำนวนผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปในไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งในปัจจุบันคนไทยแต่งงานช้า มีลูกยาก ทำให้จำนวนผู้สูงอายุในไทยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ 

ตัวเลขประชากรไทยในปี 2563  ตามที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) รายงานครม.เมื่อต้นปี 2563 พบว่า ไทยมีจำนวนประชากร 66.5 ล้านคน คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 67.2 ล้านคน ในปี 2571 หลังจากนั้นจำนวนประชากรจะลดลงในอัตรา  -0.2% ต่อปี ซึ่งในปี 2583 คาดประมาณว่าจะมีประชากรประมาณ 65.4 ล้านคน

ส่วนประชากรวัยเด็ก (แรกเกิด - 14 ปี) มีแนวโน้มลดลง โดยในปี 2563  มีจำนวนประชากรเด็ก 11.2 ล้านคน ( 16.9%) ลดลงเป็น 8.4 ล้านคน ( 12.8%) ในปี 2583 ประชากรผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ในปี 2563 มีจำนวนประชากรผู้สูงอายุ 12 ล้านคน หรือ 18% เพิ่มเป็น 20.42 ล้านคน หรือ 31.28% ในปี 2583 โดยในปี 2562 เป็นปีแรกที่จำนวนประชากรวัยเด็กเท่ากับประชากรผู้สูงอายุที่ 11.3 ล้านคน หลังจากนั้นจำนวนประชากรวัยเด็กน้อยกว่าผู้สูงอายุมาโดยตลอด 


จำนวนประชากรสูงวัย

จากกราฟฟิกนี้ ทำให้เห็นว่าในปี 2564 ไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แบบ โดยจะมีประชากรสูงวัยทั้งสิ้น 13.8 ล้านคน หรือคิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากในปี 2563 มีจำนวนประชากรผู้สูงอายุ 12 ล้านคน หรือ 18%

ในอีก 10 ปีข้างหนี้จำนวนผู้สูงอายุ เพิ่มเป็น 20.42 ล้านคน หรือ 31.28% ในปี 2583 

ตรงนี้เป็นประเด็นที่ท้าทายรัฐบาลไทย ในการวางแผนรองรับ โดยกำหนด “ผู้สูงอายุ” เป็นวาระแห่งชาติ มีแนวทางการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ ครอบคลุมทั้งกลุ่มก่อนวัยสูงอายุ (25-59 ปี) และผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) โดย มีแผนส่งเสริมเน้นเรื่องการออม วิธีการดูแลผู้สูงอายุ และการปรับสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับสภาพผู้สูงอายุ แผนดูแลผู้สูงอายุระยะยาว เสริมทักษะใหม่แก่แรงงานผู้สูงอายุ การออกแบบการทำงานให้ยืดหยุ่นและสร้างแรงจูงใจให้นายจ้างที่จ้างผู้สูงอายุมากขึ้น รวมถึงสร้างเครื่องมือเข้าไปดูแลสังคมผู้สูงวัย สร้างระบบรองรับการออมระยะยาว เพื่อให้สามารถเข้าไปช่วยสร้างหลักประกันให้คนไทยมีเงินใช้หลังเกษียณ  


เกิดคำถาม..?  ไทยพร้อมหรือยังที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ  และผู้สูงอายุจะดำรงชีวิตได้อย่างไร หากไม่ได้ทำงานและไม่มีรายได้ 


ภาพรวมระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุ

จากกราฟฟิกนี้เห็นว่า ไทยมีระบบการออมเพื่อการเกษียณ ประมาณ 10 ประเภท ในจำนวนนี้มีแค่ 1 ประเภทยังไม่มีผลบังคับใช้ คือ กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ(กบช.) โดยอยู่ผลักดันของกระทรวงการคลัง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน หลังจากนั้นจะเสน ครม.เพื่อเสนอเข้าสภาฯ ผลักดันเป็นกฎหมายต่อไป 

ทั้งนี้ระบบบำนาญของไทยทั้ง 10 ประเภทมีการจัดกลุ่ม แบ่งเป็น “สวัสดิการชราภาพ”  ซึ่ง “รัฐให้ฝ่ายเดียว” ประกอบด้วย บำเหน็จบำนาญ ข้าราชการ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 600-1,000 บาท รวม 2 ส่วนนี้มีผู้เกี่ยวข้องประมาณ 11 ล้านคน  เป็นเงินงบประมาณรัฐประมาณ 2.5 แสนล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้รัฐมีการดำเนินการตามแนวทาง ธนาคารโลก (World Bank) สร้างระบบการออมเพื่อเกษียณอายุ ระบบบำเหน็จบำนาญ เพื่อทำให้เกิดความมั่นคง ที่เรียกว่า “สามเสาหลักของระบบเงินออมเพื่อวัยเกษียณ”  

เสาหลักที่ 1 : เป็นระบบบำนาญภาคบังคับที่รัฐบาลของแต่ละประเทศจัดให้แก่ประชาชน เรียกว่า Pay-as-you-go (PAYG) ซึ่งจะกำหนดผลประโยชน์ที่จะจ่ายให้แก่สมาชิกแน่นอน (Defined Benefit) จนกระทั่งเสียชีวิต เป็นการสร้างหลักประกันเพื่อการชราภาพขั้นพื้นฐาน กำหนดผลประโยชน์ขั้นต่ำของรายได้ให้เพียงพอแก่การยังชีพ ไม่ต่ำกว่าเส้นความยากจน (Poverty Line)  ประกอบด้วย กองทุนประกันสังคมมาตรา 33,39 มีผู้อยู่ในระประกันสังคม 12 ล้านคน มีทรัพย์สินกองทุนประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท

เสาหลักที่ 2  : เป็นระบบเงินออมภาคบังคับ (Mandatory System) ที่รัฐบาลบังคับให้ประชาชนออมเงินในขณะทำงาน อาจบริหารโดยเอกชนหรือหน่วยงานอิสระของรัฐ มีเงินกองทุนและมีการส่งเงินสะสมของสมาชิก และมีการสมทบจากนายจ้างเข้ากองทุนในบัญชีของสมาชิกแต่ละคน (Individual Account)  มีวัตถุประสงค์ยกระดับรายได้ของผู้เกษียณให้สูงกว่าเส้นความยากจน เพื่อให้มีรายได้ที่ดีขึ้นตามมาตรฐานการดำรงชีวิตอย่างปกติ ประกอบด้วย กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน รวมกว่า 1 ล้านคน สินทรัพย์รวมทั้งหมด 8 แสนล้านบาท ซึ่งหากกบช.มีผลบังคับใช้ ทำให้มีประชาชนเข้าร่วมเพิ่มอีก 11 ล้านคน รวมเป็น 12 ล้านคน 

เสาหลักที่ 3  : เป็นระบบการออมภาคสมัครใจ (Voluntary System) และรัฐบาลส่งเสริม ซึ่งมีการบริหารโดยภาคเอกชน มีเงินกองทุนและมีการส่งเงินสะสมของสมาชิกในจำนวนที่แน่นอน (Defined Contribution)  ในบางกรณีอาจมีเงินสมทบจากนายจ้างเข้ากองทุนในบัญชีของแต่ละคน โดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้ออมมีทางเลือกในการออมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณมากขึ้น มีความเพียงพอของเงินออมในการดำรงชีวิตในอนาคต ในการเข้าถึงความสะดวกสบายและการดูแลรักษาพยาบาลที่สูงกว่ามาตรฐาน เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ(PDV) ประกันสังคม มาตรา 40 กองทุนการออมแห่งชาติ(กอช.) ผลิตภัณฑ์อื่น เช่น RMF ประกันสังคม มีผู้เกี่ยวข้องรวมกว่า 10 ล้านคน วงเงินรวมกว่า 1.3 ล้านล้านบาท

ตรงนี้เป็นแนวทางสนับสนุนให้คนไทยออมเงิน นอกจากเพื่อความมั่นคงของชีวิตแล้ว ยังจะช่วยลดงบประมาณในการดูแลผู้สูงอายุ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งข้อมูลของกรมกิจการผู้สูงอายุ พบว่าการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ  ในช่วงปี พ.ศ.2555-2562 ใช้งบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท   ล่าสุดต้องรัฐจัดสรรงบกว่า 7 หมื่นล้านบาท เพื่อจ่ายให้ผู้สูงอายุที่ขึ้นทะเบียนไว้กว่า 9 ล้านคน  


ผลสำเร็จการออมเพื่อการเกษียณ

ธนาคารแห่งประเทศไทย สำรวจพฤติกรรมการออมเพื่อการเกษียณ พบว่า มีเพียง 1 ใน 4 หรือ 25% เท่านั้นที่สามารถวางแผนการออมเพื่อการเกษียณและทำได้สำเร็จตามแผนที่วางไว้ //ขณะที่อีก 34.3% มีการออมเพื่อใช้ในยามเกษียณแต่ไม่สามารถทำได้ตามแผนที่วางไว้//ส่วน 21% ได้แต่คิด แต่ยังไม่ได้เริ่มลงมือทำ และ 19.7% ยังไม่ได้เตรียมการเพื่อเกษียณอายุเลย แปลว่ายังมีคนอีก 75 คน ในคน 100 คน ไม่มีเงินพร้อมสำหรับการเกษียณ ตรงนี้เป็นภาระงบประมาณของรัฐบาลในอนาคต และผู้สูงอายุบางส่วนยังหวังพึ่งพาลูกหลานให้ช่วยเลี้ยงดู 


จำนวนเงินเก็บหลังเกษียณกับค่าใช้จ่ายต่อเดือน

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เคยประเมิน และแนะนำการเก็บเงินไว้ใช้ดำรงชีวิตอย่างเพียงพอหลังเกษียณ พบว่าต้องมีเงินเก็บอย่างน้อย 4 ล้านบาท เพื่อใช้จ่ายในช่วงอีก 20 ปี หลังเกณียณ ให้ได้เดือนละ 15,000 บาท แต่หากอยู่อย่างสบาย ต้องเก็บเงินไม่น้อยกว่า 13 ล้านบาท เพื่อให้มีเงินใช้หลังเกษียณเดือนละ 5 หมื่นบาท 


แผนการออมกับเป้าหมาย 4 ล้านบาท

มาดูตารางแผนการออมเบี้ยงต้น ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คำนวณไว้
ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีข้อแนะนำถึงการออมเงิน เพื่อให้ถึงเป้าหมาย 4 ล้านบาท ตามช่วงอายุตั้งแต่ 20 ปีซึ่งเป็นช่วงอายุที่เพิ่งเริ่มทงาน ไปจนกว่า50 ปี ใกล้จะเกษียณ 

การลงทุนในรูปแบบต่างกัน เช่น ฝากเงิน ลงทุนตราสารหนี้ หรือลงทุนในไทย ต้องใช้เงินต่างกัน ยกตัวอย่าง ผู้มีอายุ 20 ปี มีเวลาออมเงิน 40 ปี สามารถฝากเงินเดือนละ 5,849 บาท แต่ถ้าลงทุนตราสารหนี้ใช้เงินเดือนละ 2,660 บาท ลงทุนน้อยกว่าเพราะผลตอบแทนมากกว่า และสามารถใช้เงินลงทุนในหุ้นแค่  484 บาท 

หากอายุ 50 ปี เหลือเวลาไม่เกิน 10 ปีที่จะเก็บเงิน ต้องฝากเงินไม่ต่ำกว่าเดือนละ 3 หมื่นบาท ลงทุนตราสารหนี้เดือนละ 26,137 บาทและลงทุนหุ้น 19,356 บาท 

แต่ละคนต้องประเมินศักยภาพในการออม และความสามารถในการรับความเสี่ยงว่าเหมาะสมกับแผนการออมแบบไหน  เช่นการฝากเงินจะมั่นคง แต่ผลตอบแทนน้อย การลงทุนในหุ้นให้ผลตอบแทบสูง แต่ต้องแลกมากับความเสี่ยงที่สูงที่สุด

อย่างไรก็ตาม คำว่า“ ออมก่อน รวยก่อน ” เป็นข้อแนะนำจาก ดร.กฤษฎา  เสกตระกูล  รองผู้จัดการ  หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  โดยแนะนำหลักการออมง่ายๆ ว่า  ควรออมไม่ต่ำกว่า 10%  ของรายได้ และต้องปรับเปลี่ยนการออมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น ในสถานการณ์โควิด ทำให้เห็นภาพคนตกงานกะทันทัน ดังนั้นความสำคัญของการออมต้องเพิ่มในส่วนนำไปใช้กรณีเหตุฉุกเฉินอีก 6 เดือน  หรืออย่างน้องต้องมีเงินไว้ใช้สำรองไม่ต่ำว่า 60,000 บาท  นอกเหนือจากเงินออมเพื่อการเกษียณ 

ทั้งหมดนี้เป็นภาพรวมของการออมเงินของคนไทย เตรียมไว้รับมือกับสังคมผู้สูงอายุเต็มรูปบบ ในปี 2564 ดูแล้วการเงินของคนไทยยังไม่ค่อย พร้อมที่จะรับมือกับการเข้าสู่ก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยเท่าใดนัก ตรงนี้เป็นความท้าทายของรัฐบาล และคนในประเทศ ต้องเร่งวางแผนเกษียณ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับงบประมาณ และระบบเศรษฐกิจในอนาคต 


ติดตามได้ใน รายการ "เศรษฐกิจ Insight" วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน 2563

https://www.youtube.com/watch?v=tUytN_OHV5o&t=351s

เกาะติดข่าวที่นี่

website: www.TNNTHAILAND.com
facebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE




ข่าวที่เกี่ยวข้อง