รีเซต

"วิกฤตประชากรไทย" เกิดน้อยกว่าตาย 5 ปีติด ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย ?

"วิกฤตประชากรไทย" เกิดน้อยกว่าตาย 5 ปีติด ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย ?
TNN ช่อง16
11 พฤศจิกายน 2568 ( 08:00 )
13

"วิกฤตประชากรไทย" เกิดน้อยกว่าตาย 5 ปีติด แก้ก่อนจะสาย ? 


ประเทศไทยกำลังเสี่ยงเจอกับวิกฤตประชากร เมื่อเด็กเกิดใหม่น้อยลงเรื่อยๆ ประเทศของเราจึงเต็มไปด้วยคนสูงวัย เสี่ยงจะกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างหนัก 


จุดเปลี่ยนของโครงสร้างประชากรไทยมาถึงแล้ว  ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ประเมินว่า ปี 2568 จะเป็นปีที่ประชากรไทย “เกิดน้อยกว่าตาย” เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน หรือนับตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา โดยจำนวนคนเกิดใหม่ในช่วง 9 เดือนแรกของปีลดลงถึง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า  และคาดว่าเมื่อรวมทั้งปีจะมีจำนวนเด็กเกิดใหม่ไม่ถึง 4 แสนคน ต่ำที่สุดตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลทางสถิติ ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตกลับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ทั้งปียังเสี่ยงจำนวนประชากรต่ำกว่า 66 ล้านคน โดยจังหวัดที่สถานการณ์คนเกิดน้อยกว่าเสียชีวิตมากที่สุด 3 จังหวัดแรก ได้แก่ นครราชสีมา ขอนแก่น และร้อยเอ็ด   


ขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทยระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรอยู่ประมาณ 65.9 ล้านคน ซึ่งนับว่าลดลงจากระดับสูงสุดกว่า 67 ล้านคนเมื่อราว 6 ปีก่อน และแนวโน้มจะยังคงลดต่อไปในทศวรรษหน้า หากไม่มีการเปลี่ยนนโยบายส่งเสริมการเกิดอย่างจริงจัง


ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่า ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในเมืองใหญ่ แต่เริ่มกระจายไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น นครราชสีมา ขอนแก่น และร้อยเอ็ด ที่มีสัดส่วน “คนเกิดน้อยกว่าคนตาย” สูงที่สุดในประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงการอพยพแรงงานหนุ่มสาวเข้าสู่เมืองใหญ่และการไม่กลับถิ่นฐานหลังจากมีครอบครัว ส่งผลให้ชนบทเผชิญสังคมผู้สูงอายุเร็วกว่าพื้นที่อื่น


สาเหตุคืออะไร ?


ผู้เชี่ยวชาญด้านประชากรจาก สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล วิเคราะห์เอาไว้ว่า ปัญหาการเกิดลดของไทยมีรากมาจาก “โครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม” ที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา คนรุ่นใหม่จำนวนมากเลือกที่จะ “ไม่แต่งงาน” หรือ “ไม่มีบุตร” เพราะไม่มั่นใจในความมั่นคงทางการเงิน ราคาที่อยู่อาศัยสูง ค่าครองชีพที่เร่งขึ้น รวมถึงความกังวลต่อคุณภาพการศึกษาและค่าเลี้ยงดูบุตรในอนาคต


นอกจากนี้ ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า คนไทยอายุ 25–39 ปี มากกว่า 60% ระบุว่า “ยังไม่พร้อมมีลูก” โดยให้เหตุผลเรื่องภาระค่าใช้จ่ายสูง การทำงานไม่มีเวลาว่าง และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจหลังโควิด

 



ปัญหาการลดลงของประชากรจะกระทบต่อ “ศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ” ของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะแรงงานคือหัวใจของการผลิตสินค้าและบริการ หากจำนวนแรงงานลดลงต่อเนื่อง เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญกับภาวะ “เติบโตต่ำเรื้อรัง” จากปัจจัยสำคัญ เช่น


 1. การขาดแคลนแรงงาน


ข้อมูลจาก สภาพัฒน์ฯ (NESDC) ระบุว่า ในอีก 25 ปีข้างหน้า แรงงานไทยอายุ 15–59 ปีจะหายไปกว่า 8 ล้านคน หรือคิดเป็น 20% ของกำลังแรงงานทั้งหมด ส่งผลให้ภาคการผลิต ภาคเกษตร และบริการต้องพึ่งแรงงานต่างชาติสูงขึ้น โดยเฉพาะจากเมียนมา ลาว และกัมพูชา


หากเราไม่เร่งเพิ่มผลิตภาพแรงงานหรือใช้เทคโนโลยีมาทดแทน การขาดแรงงานจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายการลงทุนของภาคเอกชน


 2. การบริโภคลดลง


เมื่อสังคมเข้าสู่ภาวะแก่ตัว รายได้เฉลี่ยต่อหัวมักลดลง ขณะที่การบริโภคของผู้สูงอายุเน้นสินค้าและบริการที่ไม่สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจมากนัก เช่น การดูแลสุขภาพมากกว่าการซื้อบ้าน รถยนต์ หรือเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งทำให้ “แรงขับเคลื่อนภายในประเทศ” อ่อนกำลังลง


รายงานของ IMF (2024) ประเมินว่า ประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงอายุเต็มรูปแบบ (เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเยอรมนี) มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยเพียง 1–1.5% ต่อปี ซึ่งไทยอาจต้องเผชิญเส้นทางเดียวกันหากไม่ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ


3. ภาระการคลังเพิ่มขึ้น


กสิกรไทยระบุว่า ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการและสุขภาพของผู้สูงอายุในประเทศไทยจะเพิ่มเฉลี่ยปีละ 7% ต่อเนื่อง จากปี 2558–2568 และจะเร่งขึ้นอีกเมื่อเข้าสู่ช่วงหลังปี 2570 โดยเฉพาะงบประมาณกองทุนประกันสังคม กองทุนสุขภาพ และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ


สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า หากไม่มีการปรับโครงสร้างงบประมาณ ประเทศไทยอาจต้องใช้งบประมาณเพื่อดูแลผู้สูงอายุสูงถึง 1.3 ล้านล้านบาทต่อปีในปี 2593 หรือเกือบ 20% ของงบรายจ่ายรวมทั้งหมด



"ทางออก" แก้วิกฤตประชากรไทย เริ่มวันนี้ - ถอดรหัสจากต่างประเทศ 


ในวิกฤตมีโอกาสเสมอ ทุกปัญหาก็มีทางออก วิกฤตประชากรไทยก็แก้ได้ ถ้าเราเร่งปรับนโยบาย เมื่อกับหลายๆประเทศทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือ การขยายอายุเกษียณ


หากไทยปรับนโยบายเชิงรุกและลงทุนใน “ทุนมนุษย์” ได้อย่างถูกทาง ยังสามารถชะลอผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ ไม่ว่าจะเป็น


1. เพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labour Productivity)

   ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอให้รัฐบาลส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในภาคการผลิตและบริการ พร้อมขับเคลื่อนโครงการ Upskill/Reskill เพื่อยกระดับทักษะแรงงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ดิจิทัล โลจิสติกส์ และสุขภาพ ซึ่งเป็นภาคที่ยังมีศักยภาพสูง


2. ขยายอายุเกษียณ

   หนึ่งในข้อเสนอสำคัญคือ การขยายอายุเกษียณจาก 60 ปี เป็น 63–65 ปี เพื่อคงจำนวนแรงงานที่มีประสบการณ์ไว้ในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น (65 ปี) และสิงคโปร์ (63 ปี และจะเพิ่มเป็น 65 ปีในปี 2573)


3. นโยบายสนับสนุนการมีบุตร

 ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า การเพิ่มเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดจาก 600 บาทต่อเดือน เป็น 1,200 บาท อาจช่วยจูงใจให้คู่สมรสมีบุตรมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ นอกจากนี้ควรมีนโยบาย “Tax Credit” สำหรับครอบครัวมีบุตร เช่น ในเกาหลีใต้และสิงคโปร์ ที่สามารถลดหย่อนภาษีได้หลายหมื่นบาทต่อปี


นอกจากนี้เราต้องเร่งถอดบทเรียนจากประเทศเพื่อนบ้านและต่างประเทศ เพราะปัจจุบันนี้ประเทศในเอเชียหลายแห่งประสบปัญหาใกล้เคียงกัน เช่น ญี่ปุ่น ที่เข้าสู่สังคมสูงอายุเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี 2540 และกำลังเผชิญปัญหาขาดแรงงานรุนแรงในภาคการผลิต ขณะที่ เกาหลีใต้ มีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในโลก จนรัฐบาลต้องใช้งบกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 15 ปี เพื่อส่งเสริมให้คนแต่งงานและมีลูก


ในทางกลับกันสิงคโปร์ ซึ่งเคยมีอัตราการเกิดต่ำเช่นเดียวกับไทย สามารถประคองสถานการณ์ได้บางส่วนจากนโยบายผสมผสาน ทั้งการดึงแรงงานต่างชาติคุณภาพสูง การลดภาษีให้ครอบครัวมีบุตร และการสร้างระบบดูแลเด็กที่มีคุณภาพทั่วประเทศ


สำหรับประเทศไทย นักวิเคราะห์หลายสำนักเห็นตรงกันว่า จำเป็นต้องกำหนด “ยุทธศาสตร์ประชากรชาติ” ที่ชัดเจนระยะ 20 ปี เช่นเดียวกับยุทธศาสตร์ชาติด้านเศรษฐกิจ เพื่อวางแผนทั้งด้านแรงงาน การศึกษา และการดูแลผู้สูงอายุอย่างบูรณาการ


ในระยะยาว การเปลี่ยนโครงสร้างประชากรอาจทำให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ “ภาวะชะงักงันเชิงโครงสร้าง (Structural Stagnation)” หากไม่สามารถเพิ่มผลิตภาพต่อหัวได้เพียงพอ เพราะเมื่อจำนวนแรงงานลด แต่รายได้ต่อหัวไม่เพิ่ม เศรษฐกิจโดยรวมจะเติบโตช้า และอาจเข้าสู่ “กับดักประเทศรายได้ปานกลางถาวร”


อย่างไรก็ตาม โอกาสยังมีอยู่ในภาคเศรษฐกิจใหม่ เช่น อุตสาหกรรมสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุ (Silver Economy) ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดกว่า 1.5 ล้านล้านบาทในปี 2573 ตามข้อมูลของ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) รวมถึงธุรกิจเทคโนโลยีหุ่นยนต์และบริการสุขภาพที่กำลังเติบโตจากความต้องการดูแลผู้สูงอายุ

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง