จีนปฏิวัติอุตสาหกรรมโลกครั้งที่ 4 ด้วย New-Quality Productive Forces (ตอน 1)

พอดีว่า เมื่อราว 2 เดือนก่อน ผมมีโอกาสไปฟังการบรรยายของนักวิจัยหนุ่มที่มีชื่อเสียงของจีน ซึ่งเปิดกว้างโลกทัศน์และทำให้ผมถึง “บางอ้อ” เกี่ยวกับ “New-Quality Productive Forces” ในหลายประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ ของจีนในยุคหลัง
แท้ที่จริงแล้ว “New-Quality Productive Forces” คืออะไร และจะช่วยยกระดับภาคการผลิตและเศรษฐกิจของจีน หรือแม้กระทั่งปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่ของโลกได้หรือไม่ อย่างไร ...
จากหลักฐานการประชุมของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์และคณะรัฐมนตรีจีน มีการหารือเกี่ยวกับ “ปัจจัยการผลิตใหม่” นับแต่ปี 2022 โดยที่ประชุมเห็นว่า ปัจจัยการผลิตใหม่ทำหน้าที่เป็นรากฐานสำหรับการแปลงสู่ดิจิตัล การสร้างเครือข่าย และปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งสามารถผนวกเข้าไปในหลายส่วน อาทิ การผลิต การจัดจำหน่าย การหมุนเวียน การบริโภค และการจัดการบริการทางสังคม อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรากฐานในวิธีการผลิต วิถีชีวิต และวิธีการกำกับดูแลสังคม
ภายหลังการคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับ “ปัจจัยการผลิตใหม่” สี จิ้นผิง ก็เปิดตัว “New-Quality Productive Forces” อย่างเป็นทางการเมื่อครึ่งหลังของปี 2024 ในโอกาสเดินทางตรวจงานที่มณฑลฮาร์บินโดยได้กล่าวถึงคำว่า “New-Quality Productive Forces” เป็นครั้งแรกต่อสาธารณะชน ซึ่งเล่นเอานักข่าวที่ติดตามคณะงงไปตามๆ กัน
หลังเป็นข่าวสักระยะ คนจีนบางส่วนที่ผมแลกเปลี่ยนทัศนะด้วยยังเคยเปรยกับผมว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนชอบคิดศัพท์เทคนิคใหม่ๆ ออกมาอยู่เรื่อยๆ เพื่อสร้างกระแสความสนใจในสังคมจีน แต่หลังศึกษาเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ผมกลับคิดว่า จีนกำลังค้นพบทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มหภาพใหม่ที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน
ในท่อนหนึ่งของคำกล่าวของผู้นำจีนระบุว่า New-Quality Productive Forces (ซึ่งผมขอแปลว่า กำลังการผลิตคุณภาพใหม่) อยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาแบบก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของแรงงาน วัสดุ วัตถุ และการผสมผสานที่ลงตัวเป็นความหมายพื้นฐาน ซึ่งมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของผลิตภาพโดยรวมเป็นตัวบ่งชี้ โดยลักษณะพิเศษคือนวัตกรรม กุญแจสำคัญอยู่ที่คุณภาพสูง และแก่นแท้อยู่ที่กำลังการผลิตขั้นสูง”
ประเด็นสำคัญก็คือ ในทฤษฏีเศรษฐศาสตร์มหภาคที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product) หรือที่เราเรียกกันจนติดปากว่า “จีดีพี” (GDP) เป็นตัวกำหนดผลผลิตของสินค้าและบริการโดยรวมที่ผลิตขึ้นภายในประเทศ โดยมี 2 ตัวแปรสำคัญ อันได้แก่
- ปริมาณของปัจจัยการผลิตขาเข้า (Input) ตั้งแต่แรงงาน เงินทุน เทคโนโลยี ข้อมูล และทรัพยากร โดยมีเงินทุนและแรงงานเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญยิ่ง และอยู่บนสมมติฐานว่าปัจจัยการผลิตทั้งสองอยู่ในระดับคงที่ (Fixed)
- ความสามารถในการเปลี่ยนปัจจัยการผลิตขาเข้าเป็นผลิตผล (Output) หรือ “หน้าที่การผลิต” (Production Function) ซึ่งหมายถึง เทคโนโลยีการผลิตที่มีอยู่นั่นเอง
เพื่อความเข้าใจเชิงลึก ผมขอพาท่านผู้อ่านย้อนกลับไปสู่ยุคเริ่มแรกของแนวคิดดังกล่าวกันก่อน แนวคิดจีดีพีถูกพัฒนาขึ้นในศตวรรษที่ 20 โดยในปี 1934 ไซมอน คุซเนตส์ (Simon Kuznetz) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน-รัสเซีย ได้นำเสนอรายงานต่อสภาคองเกรสสหรัฐฯ เกี่ยวกับการวัดรายได้ประชาชาติเพื่อติดตามสภาพเศรษฐกิจในช่วงที่โลกเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression)
ต่อมา รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ถือเป็นประเทศแรกที่ได้เริ่มนำเอาแนวคิดดังกล่าวไปใช้วัดมูลค่ารวมของสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นภายในประเทศในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 องค์การระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง IMF, World Bank และ OECD ได้นำเอาวิธีคำนวณนี้มาใช้เป็นมาตรฐานสากล
ในปี 1944 การประชุมเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods Conference) ได้ยอมรับหลักการนี้เป็นเกณฑ์การวัดเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ทำให้นานาประเทศทั่วโลกใช้จีดีพีเป็นตัวชี้วัดหลักของเศรษฐกิจในเวลาต่อมาจวบจนปัจจุบัน
อีกส่วนหนึ่งที่ขอทำความเข้าใจเพื่อสร้างภาพต่อจากอดีตสู่ปัจจุบันและเชื่อมต่อไปยังอนาคต การคิดค้นในสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคสมัยนำไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม สังคม และความเจริญของโลก
การปฏิวัติอุตสาหกรรมโลกครั้งที่ 1 ที่มีต้นกำเนิดจากอังกฤษในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ถึงกลางศตวรรษที่ 19 เกิดขึ้นเพราะการมาของเครื่องจักรไอน้ำ ซึ่งทำให้เกิดระบบโรงงาน (Factory System) การเติบโตของเมืองอุตสหากรรม และชนชั้นแรงงาน นำไปสู่การเพิ่มกำลังการผลิตและการล่าอาณานิคมเพื่อแสวงหาปัจจัยการผลิต
ขณะที่การปฏิวัติอุตสาหกรรมโลกครั้งที่ 2 ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 เกิดขึ้นโดยมีสหรัฐฯ เป็นศูนย์กลาง เพราะการค้นพบกระแสไฟฟ้า และตามมาด้วยพลังงานไฟฟ้าและฟอสซิล สายพานการผลิต (Assembly Line) โทรเลขและโทรศัพท์ รวมไปถึงการผลิตเหล็กกล้าและเคมี ทำให้เกิดธุรกิจขนาดใหญ่และบรรษัทข้ามชาติ และการขยายตัวของเมืองใหญ่และระบบคมนาคม รวมทั้งการรวมตัวของแรงงานเป็นสหภาพ
จนกระทั่งโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคของ “เทคโนโลยีสารสนเทศ” ที่นำไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมโลกครั้งที่ 3 ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ถึงปลายศตวรรษที่ 20 เทคโนโลยีหลักในยุคนี้ได้แก่ คอมพิวเตอร์ ไมโครชิป และอินเตอร์เน็ต รวมไปถึงระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ในสายการผลิต และโทรศัพท์มือถือ
เราจึงเห็นเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนไปสู่ “เศรษฐกิจความรู้” (Knowledge Economy) การขยายตัวของกระแสโลกาภิวัตน์ที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว และเกิดบริษัทบิ๊กเทค อาทิ Microsoft, Apple และ IBM ขณะที่การจ้างงานเปลี่ยนจากอุตสาหรรมการผลิตเป็นภาคบริการและเทคโนโลยี
มาถึงจุดนี้ แนวคิดจีดีพีแบบดั้งเดิมเริ่มมีข้อจำกัดบางประการและไม่ครอบคลุมปัจจัยการผลิตใหม่ที่ไม่ปรากฎมาก่อนในอดีตและนำมาใช้ในภาคเศรษฐกิจ อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ ข้อมูลขนาดใหญ่ เทคโนโลยีชีวภาพ และอินเตอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง (IoTs) รวมทั้งการพัฒนาหุ่นยนต์อัจฉริยะ การพิมพ์สามมิติ พลังงานสะอาด เครือข่าย 5G ที่คาดว่าจะพัฒนาสู่ 6G และควอนตัม (Quantum) ในอนาคต
โลกจึงเปลี่ยนการผลิตและบริการเข้าสู่ยุคดิจิตัลอัจฉริยะ (Smart Digital) การแข่งขันระหว่างประเทศบนพื้นฐานของเทคโนโลยีระดับสูง และการเปลี่ยนวิถีชีวิตสู่เศรษฐกิจดิจิตัลและเศรษฐกิจสีเขียว และอื่นๆ แถมการบูรณาการของนวัตกรรมเหล่านี้ยังอาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนในเชิงโครงสร้างในหลายมิติจนยากจะจินตนาการ
ประการสำคัญ แนวคิดแบบดั้งเดิมเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่เมื่อไม่อาจวัดขนาดเศรษฐกิจได้อย่างแม่นยำอีกต่อไป จนกระทั่งจีนประกาศ “ปัจจัยการผลิตคุณภาพใหม่” ที่กำลังจะกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (The 4th Industrial Revolution)
คุยกันต่อตอนหน้าครับ ...
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
