รีเซต

ความในใจผู้ก่อตั้ง โรงเรียน"สารสาสน์"

ความในใจผู้ก่อตั้ง โรงเรียน"สารสาสน์"
TrueID
26 กันยายน 2563 ( 14:11 )
1.3K
ความในใจผู้ก่อตั้ง โรงเรียน"สารสาสน์"


            จากครูโรงเรียนต่างจังหวัด ผันชีวิตมาเป็นครูในเมืองหลวง ต่อสู้ดิ้นรน จนสร้างอาณาจักรของตนเองในนาม "สารสาสน์"  จาก 1 โรงเรียน แผ่ขยายเป็น 24 โรงเรียน จากจำนวนนักเรียน 400 คน จนถึงกว่าครึ่งแสนคนในปัจจุบัน ริเริ่มโรงเรียนระบบสองภาษาจนประสบความสำเร็จอย่างงดงาม  สิ่งเหล่านี้อาจ บ่งบอกถึงอะไรหลาย ๆ อย่าง สำหรับความเป็น "พิบูลย์ ยงค์กมล"  ศิษย์เก่า บ้านเณรบางนกแขวก - ราชบุรี ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความตั้งใจ ความสามารถ ในการบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี

 

เริ่มต้นชีวิต "ครู" ที่กรุงเทพฯ


           เมื่อผมอยู่ที่โรงเรียนดรุณานุกูลก็อาศัยอยู่ที่วัดนั่นเอง อยู่ที่นั่นนอกจาก จะเป็นครูแล้วผมยังช่วยคุณพ่อเล่นหีบเพลง ให้เด็กที่เป็นนักขับร้องฝึกขับร้องกัน บางครั้งคุณพ่อก็ให้ผมพากษ์หนังให้พวกเยาวชนดูด้วย เพราะผมก็เคยดูมา ก่อนแล้วตอนอยู่ที่บ้านเณร ผมทำงานอยู่ที่ดรุณานุกูลได้ไม่ถึงหนึ่งปีก็ลาออก  คิดว่าจะเข้ากรุงเทพฯ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นจะไปทำอะไร ความตั้งใจจริง ๆ ที่จะเข้ากรุงเทพฯ ก็เพื่อจะเข้าไปเรียนทางด้านการก่อสร้าง แต่เนื่องจากไม่มีเงิน ก็เลยไม่ได้เรียนตามที่ตั้งใจ

 

พอดีพี่สาวของผมเป็นแม่ครัวอยู่กับคุณครูมารี โรส ซึ่งเป็นซิสเตอร์คณะพระหฤทัยแห่งกรุงเทพฯ (คลองเตย) ที่โรงเรียนฟาติมา ที่ตรอกจันทร์ ในช่วงนั้นโรงเรียนฟาติมากำลังอยู่ในช่วงแยกเป็นโรงเรียนเปรมฤดี โดยย้ายนักเรียนชายจากฟาติมามาด้วย ส่วนที่ฟาติมานั้นซิสเตอร์คณะอุร์สุลิน ก็ซื้อไป แล้วตั้งเป็นโรงเรียนวาสุเทวี ผมจึงได้เป็นครูที่โรงเรียนเปรมฤดี จะว่าไป ผมเป็นคนที่สมัครเป็นครูของโรงเรียนเปรมฤดีคนแรกก็ว่าได้ เพราะในสมัยนั้น คนที่จะเป็นครูนั้นค่อนข้างจะหายาก คุณครูมารี โรสจึงรับผมเข้าทำงานทันที ช่วงสองสามปีแรกผมก็ได้ไปเรียนเพื่อสอบเทียบได้วุฒิ ม.8 ที่วัดสุทัศน์ฯ ไปด้วย

 

สองปีแรกไปสอบก็ไม่ผ่าน แต่พอปีที่สามไม่ได้ไปเรียนแต่สอบผ่าน แล้วจึงไป สมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในคณะนิติศาสตร์ แต่มาตัดสินใจว่า จะเรียนเป็นครู จึงได้ไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรแทน ผมสอนอยู่ที่โรงเรียนเปรมฤดีอยู่ 9 ปี ผมได้รู้จักกับครูเพ็ญศรี ภรรยาของผม ที่นั่นเอง เพราะเขาก็มาเป็นครูอยู่ที่นั่น เมื่อรู้จักกันก็ได้คบหาแล้วก็แต่งงานกัน

 

ในสมัยที่ผมเป็นครูอยู่ที่เปรมฤดีนี่เอง  ก่อกำเนิดโรงเรียนในเครือสารสาสน์ จากนักเรียน 400 จนกลายเป็นกว่าครึ่งแสน ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2552)  หลังจากที่เป็นครูอยู่โรงเรียนเปรมฤดี 9ปี ก็ลาออกมาทำโรงเรียนของตัวเอง โดยมีเพื่อน ๆ หลายคนเป็นหุ้นส่วนกัน ซึ่งก็คือโรงเรียนสารสาสน์พิทยา สาธุประดิษฐ์ โดยเช่าที่ดินของลูกศิษย์

 

ในระยะแรกเริ่มนั้นผมต้องทำเองทุกๆ อย่าง ทั้งเป็น ครูใหญ่ สอนเรียน ออกข้อสอบ พิมพ์ข้อสอบ ทำทุก ๆ อย่าง รวมทั้ง ตอนเย็นยังต้องไปเรียนด้วย จึงทำให้ต้องพักการเรียนไปหนึ่งปี เพื่อมาทุ่มเวลา กับการทำโรงเรียน ช่วงนั้นเหนื่อยมาก ๆ เงินก็ไม่มีที่จะไปจ้างคนอื่นมาช่วยทำงาน ตอนเปิดปีแรกมีนักเรียน 400 คน มีตั้งแต่ชั้นเตรียมประถมจนถึง มศ.3  ส่วนใหญ่ จะเป็นนักเรียนชายที่ค่อนข้างจะเกเร ย้ายมาจากโรงเรียนอื่นๆ ผมก็รับไว้ แล้วสุดท้าย หุ้นส่วนทุกคนก็ขายหุ้นกันหมดเหลือผมคนเดียว

 

ในที่สุดก็ผ่าน วิกฤตช่วงแรกมาได้ หลังจากนั้นประมาณปีที่ห้าผมก็เริ่มมองว่า เนื่องจากที่ดิน ที่เราทำโรงเรียนอยู่นั้น เป็นที่ ๆ เราเช่าเขาอยู่  สถานการณ์มันบังคับให้เราต้องดิ้นรน ดังนั้นผมจึงชวนพี่สาวที่อยู่โคราชมาร่วมหุ้นกัน เซ้งที่ของกรมธนารักษ์ 4 ไร่ 44 ตารางวา แล้วทำโรงเรียนแห่งที่สองคือโรงเรียนสารสาสน์พัฒนา ในปี พ.ศ.2512  ทำไปทำมา ประมาณ 2 ปีโรงเรียนยังไม่มีกำไร ในที่สุดพี่สาวก็ตัดสินใจขายหุ้น ในส่วนของเขาทั้งหมดให้ผมอีก แล้วผมก็ทำเรื่อยๆ มาจนค่อยๆ ดีขึ้น

 

หลังจากนั้น ประมาณ 4-5 ปี คุณอีวอน มงคล วังตาล ซึ่งได้ก่อตั้งโรงเรียนวรมงคลขึ้นในปี พ.ศ.2512 พร้อมๆ กับโรงเรียนสารสาสน์พัฒนาของผม ท่านได้เสียชีวิตลง แล้วได้มอบโรงเรียนวรมงคลให้กับทางสังฆมณฑลราชบุรี คุณพ่อชุนเอ็ง ก๊กเครือ ท่านขึ้นมาดูโรงเรียนที่ทางคุณมงคลมอบไว้ให้กับสังฆมณฑลฯ แล้วท่านก็ได้มา เยี่ยมเยียน พูดคุยกับผมในฐานะลูกวัดบางตาลเหมือนกัน  และผมก็เป็นลูกศิษย์ เรียนภาษาละตินกับท่าน

 

เนื่องจากสถานการณ์ที่โรงเรียนวรมงคลในตอนนั้น ก็ค่อนข้างลำบาก ผมจึงอาสาขอช่วยทางสังฆมณฑลดูแลโรงเรียนวรมงคลให้ ท่านก็นำเรื่องเข้าที่ประชุมของสังฆมณฑล พระสังฆราชเอก ทับปิง ซึ่งเป็นเณรรุ่นพี่ ของผม ท่านก็อนุญาตให้ผมช่วยทำ ผมช่วยทำอยู่ 3 ปี ในที่สุดทางสังฆมณฑล ก็ขอร้องให้ผมทำต่อเรื่อยๆ มาเป็นเวลาประมาณ 25 ปี แล้วผมก็ถอนตัวออกมา แล้วคืนให้กับทางสังฆมณฑล แต่ในปัจจุบันผมก็กลับเข้าไปช่วยสังฆมณฑล ดูแลโรงเรียนวรมงคลอีกครั้ง ในขณะเดียวกันก็ได้ขยายกิจการโรงเรียนในเครือ สารสาสน์เรื่อยมา


อาณาจักรสารสาสน์

            ปัจจุบันโรงเรียนในเครือสารสาสน์มีทั้งหมด 24 แห่ง รวมถึงโรงเรียน ที่ผมกำลังทำให้ทางสังฆมณฑลราชบุรีแต่ใช้ชื่อสารสาสน์ ตั้งอยู่ที่คลองหลวงอีก 1 แห่ง โรงเรียนในเครือของเรามีโรงเรียนที่เป็นระบบสองภาษาจำนวน 13 โรงเรียน  ซึ่งได้ริเริ่มการศึกษาระบบสองภาษาตั้งแต่ปี 2538 และกำลังเป็นที่นิยมมากอีกด้วย  จำนวนนักเรียนในระบบสองภาษามีเกือบสามหมื่นคน ซึ่งจำนวนนักเรียน ทั้งหมดในเครือสารสาสน์มีประมาณห้าหมื่นกว่าคนในปัจจุบัน  

 

ส่วนตัวผมไม่ได้คิดอะไร ผมก็ทำมาเรื่อยๆ ซึ่งผมเองก็ไม่เคยคิดว่าจะประสบ ความสำเร็จมากมายอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่เมื่อผมมามองย้อนหลังไปก็เห็นว่า มันมากมายจริงๆ  มีคนถามผมว่า เมื่อไหร่ผมถึงจะหยุด ผมก็ตอบว่า ทุกวันนี้ ที่ผมทำ ไม่ได้ทำเพื่อแค่ให้พอ เพราะถ้าจริงๆ แล้ว แค่โรงเรียนเดียวผมก็ สามารถอยู่ได้แล้ว ครอบครัวของผมก็สามารถอยู่ได้แล้ว แต่ที่ผมทำอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้เพราะผมคิดถึงคนของผม เพื่อคนของเราสามารถอยู่ได้ ปัจจุบันผมมี โครงการที่ให้โอกาสและช่วยเหลือเด็กๆ ให้มีที่เรียนฟรี อยู่ฟรี กินฟรี ประมาณร้อยกว่าคนด้วย  เพื่อเป็นการตอบแทนสังคม ช่วยให้เด็กเหล่านั้นได้มี โอกาส มีอนาคตที่ดีกว่าเดิม

 

แนวคิดโรงเรียนสองภาษา เริ่มจากแหม่มคนหนึ่ง


          คือมีหญิงชาวอเมริกันคนหนึ่ง ซึ่งเลิกรากับสามีแล้วย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทย ได้ส่งลูกเข้ามาเรียนที่โรงเรียนสารสาสน์พิทยา แล้วผมก็ให้เธอเป็นคนคอยฝึกฝน ภาษาอังกฤษให้ครูของเรา แล้วเราก็จัดค่ายภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนของเราขึ้น ที่ชะอำ

 

หลังจากนั้นเธอก็ได้เสนอความคิดให้กับผมว่า น่าจะเปิดโรงเรียนเป็นระบบ สองภาษาแบบที่อเมริกา ซึ่งตัวเธอเคยอาศัยอยู่ที่บอสตัน โรงเรียนที่ลูกของเธอ เรียนก็เปิดเป็นระบบสองภาษาคืออังกฤษและสเปน เพราะที่นั้นมีชาวสเปน อาศัยอยู่เยอะ ผมจึงได้ส่งครูของเราไปดูงานที่โรงเรียนนั้น เมื่อกลับมาก็มีครู ของโรงเรียนที่บอสตันมาวางหลักสูตรให้เรา

 

ตอนแรกผมจะเปิดเป็นโรงเรียน นานาชาติแต่ทางการไม่อนุญาต เนื่องจากเหตุผลว่าไม่มีบรรยากาศ ท้ายที่สุด  ผมจึงเปิดเป็นโรงเรียนสองภาษาขึ้นเป็นโรงเรียนแรกของเมืองไทยก็ว่าได้ แล้วเนื่องจากว่าโรงเรียนสองภาษากำลังเป็นที่ต้องการของเมืองไทย จึงทำให้ โรงเรียนสองภาษาของผมประสบความสำเร็จ

 

 ฝากไว้สำหรับศิษย์เก่ารุ่นหลัง (รุ่นหลาน)  


            เวลาเป็นเณร เราก็ไม่รู้หรอกว่าเราเป็นคนโชคดี เป็นคนที่ได้รับพระพร พิเศษกว่าคนอื่นๆ ได้รับทรัพย์สมบัติทั้งทางโลกและทางธรรมเหลือคณานับจริงๆ ผมเป็นและมี ทุกวันนี้ได้เพราะบ้านเณร ผมสำนึกอยู่ตลอดเวลา และคิดเสมอมาว่า ต้องตอบแทนบ้านเณร เป็นหนี้บ้านเณร ทดแทนอย่างไร ก็ไม่หมด

 

 

 

 

ข้อมูล : สามเณรราลัยแม่พระนิรมล

++++++++++++++++++++

ข่าวที่เกี่ยวข้อง