เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

#ทันหุ้น - บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ เราคาดว่า SET Index ยังมีโอกาสฟื้นตัวระยะสั้นจากบรรยากาศการลงทุนที่ผ่อนคลายขึ้น โดยยังต้องจับตาระดับ 1,260-1265 จุด ว่าจะกลับไปยืนเหนือได้หรือไม่ ปัจจัยหนุนยังคงจาก Comment จากเจ้าหน้าที่ Fed หลายท่านที่เริ่มให้ความเห็นในเชิงสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. ทำให้ตลาดเพิ่มความคาดหวังการลดดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. จาก 70% วานนี้ขึ้นเป็นกว่า 80% ซึ่งส่งผลให้ Bond Yield สหรัฐฯ ปรับตัวลงอีกราว 4 bps และหนุนเม็ดเงินไหลกลับเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงราคาทองคำที่ฟื้นตัวขึ้น ด้านปัจจัยในประเทศวันนี้ติดตามตัวเลขส่งออกไทยเดือน ต.ค. (ตลาดคาด +6.5% y-y ชะลอจากเดือน ก.ย. ที่ +19% y-y)
ขณะที่ครม.เศรษฐกิจวานนี้เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการลงทุน โดยมาตรการหลักคือ Thailand Fastpass ซึ่งตั้งเป้าว่าจะอนุมติให้การลงทุนเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น 20-50% เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน ด้านนโยบายการเงินเรามองว่า Sentiment จากฝั่ง Fed อาจทำให้ตลาดคาดหวังว่าเพิ่มขึ้นว่ากนง.อาจลดดอกเบี้ยในกาประชุมเดือน ธ.ค. เช่นกัน แต่เรายังมองว่ามีโอกาสที่จะเลือกคงดอกเบี้ยเพื่อรอดูผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลก่อนพิจารณาปรับลดอีกครั้งในการประชุมเดือน ก.พ. 26
กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่โมเมนตัมกำไร 4Q25-1H26 ที่ยังแข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือน พ.ย. : CPAXT, GFPT, ICHI, KTB, MTC
FSSIA Portfolio : BA, BDMS, BTG, CENTEL, CPALL, ICHI, KTB, MTC, SYNEX
หุ้นเด่นวันนี้ : MTC
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 58 บาท
• โมเมนตัมกำไร 4Q25 คาดว่ายังเดินหน้าทำ New High ได้ต่อเนื่อง หนุนจากสินเชื่อที่เติบโตได้แข็งแกร่ง Double Digit y-y ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ยังคงแข็งแรง รวมถึงได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจในประเทศที่ทยอยฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาล
• ราคาหุ้นปรับลงราว 15% หลังจากประกาศกำไร 3Q25 ลงมาใกล้เคียงระดับ Low ช่วงเดือน มี.ค. และ มิ.ย. เรามองว่าตอบรับเชิงลบมากเกินไปต่อประเด็น Cost of Fund ในขณะที่สินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ราคาหุ้นปัจจุบันเทรด 2026PER ต่ำเพียง 9.3 เท่า
• แนวรับ 33.50-33.25 บาท แนวต้าน 35//36 บาท
ด้าน บล.ดาโอ คาดตลาดหุ้นยังคงแกว่งกรอบแคบๆ หลังถูกขายมาอย่างหนัก และจะอิงกับทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ และหุ้น Tech คือว่า ถ้าตลาดต่างประเทศดี ตลาดไทยจะดีตาม อย่างไรก็ตาม ตลาดไทย ยังมีประเด็นการเมือง ที่กำลังถูกจับตาดูว่าจะไปในทางใด ตัวแปรนี้ จะจำกัดการสูงขึ้นของดัชนีฯไว้
ปัจจัยในประเทศ
- มาตรการ Thailand Fast Pass คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) มีมติเห็นชอบโครงการ Thailand Fast Pass เพื่อเร่งรัดการลงทุนให้กับโครงการที่พร้อมลงทุนในปี 2568-2570 นำร่องโครงการขนาดใหญ่ 80 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 4.8 แสนล้านบาท ข่าวนี้ส่งผลบวกต่อหุ้นนิคมจากการสนับสนุนการลงทุน 4.8 แสนล้านบาท โดยมาตรการอื่นๆ จะเป็นเรื่องพลังงานสีเขียวและด้านไฟฟ้า โครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อเร่งรัดกระบวนการขออนุญาตต่างๆ ให้มีความรวดเร็วขึ้นอย่างน้อย 20-50 % เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน และคาดว่าจะปลดล็อกเงินลงทุนประมาณ 3.9 แสนล้านบาท ในช่วงปี 2568-2570
- หนี้ครัวเรือนและหนี้เสีย: หนี้ครัวเรือนในไตรมาส 2/68 อยู่ที่ 86.8% ของ GDP ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 อย่างไรก็ตาม สินเชื่อส่วนบุคคลที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ที่ค้างชำระเกิน 90 วันได้เพิ่มขึ้น เป็น 9.11% ของสินเชื่อรวม ด้านสศช. ชี้ว่าต้องเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้บ้าน และต้องควบคุมระดับราคาสินค้าเพื่อรักษาความสามารถในการใช้จ่ายของแรงงาน
- ค่าเงินบาทของไทย: ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วางแผนที่จะคุมเข้มกฎการรายงานธุรกรรมทองคำ จากการไหลของทองคำเพิ่มขึ้นมีส่วนทำให้ค่าเงินบาทผันผวน ผู้ว่าการ ธปท. มองค่าเงินบาทควรจะอ่อนค่าลง เพื่อสะท้อนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว
- Fund Flow/เงินบาท: นักลงทุนต่างชาติมีสถานะ ขายสุทธิ 1,129.05 ล้านบาท ในตลาดหุ้นไทย (SET+MAI) เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ในขณะที่ตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนต่างชาติมีสถานะ ซื้อสุทธิ 1,464 ล้านบาท (NET INFLOW)
ปัจจัยต่างประเทศ
- แผนสันติภาพยูเครน-รัสเซีย: ผู้ค้าน้ำมันกำลังเก็งโอกาสที่ข้อตกลงสันติภาพระหว่างยูเครน-รัสเซียจะสำเร็จ หากมีการบรรลุข้อตกลงและยกเลิกการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย อาจมีปริมาณน้ำมันเพิ่มเติมเข้าสู่ตลาดที่มีอุปทานส่วนเกินอยู่แล้ว เป็นลบต่อราคาน้ำมัน ราคาน้ำมันดิบ Brent ล่าสุด $61.8 ต่อบาร์เรล
- ความขัดแย้งญี่ปุ่น-จีน: ความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่นและจีน เป็นปัจจัยกดดันความตึงเครียดในภูมิภาค รัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่นยืนยันแผนการติดตั้งขีปนาวุธบนเกาะโยนากุนิ ซึ่งอยู่ห่างจากไต้หวันประมาณ 110 กิโลเมตร โดยให้เหตุผลว่าเพื่อลดโอกาสการโจมตีญี่ปุ่น
- ราคาทองคำ : ราคาทองคำทรงตัวแถวๆ $4071 เหรียญ …. เรามองว่า ความขัดแย้งระหว่างจีน-ญี่ปุ่น รวมไปถึงแผนสันติภาพรัสเซีย-ยูเครนในวันนี้ หนุนราคาทองให้แข็งแรงอยู่ แต่หาก 2 เหตุการณ์นี้คลี่คลายลง จะทำให้ราคาทองถูกลดความเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven assets) ลง
ตัวเลขเศรษฐกิจและ Event - TH-ประชุม ครม.
- TH-Customs Exports YoY (คาด +6.5%yoy; เดือนก่อน +19%yoy)
- US-PPI Final Demand YoY
Technical : BCH, KAMART
ขณะที่ บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมินแนวรับดัชนี SET วันนี้ที่ 1,250 แนวต้าน 1,260 – 1,270 คาดดัชนี SET มีโอกาสฟื้นตัว หลังดัชนีหุ้นต่างประเทศผันผวนน้อยลง และยังรอการผลประชุมเฟดวันที่ 10 ธ.ค.แนะนำซื้อเก็งกำไร HMPRO, DOHOME, GLOBAL จากงบซ่อมแซมช่วงภัยน้ำท่วม / กลุ่มท่องเที่ยว AOT, BA, MINT, ERW ในช่วง High Season/ กลุ่มไฟแนนท์ SAWAD, KTC, TISCO, KKP, TCAP หาก กนง.ปรับลดดอกเบี้ยในวันที่ 17 ธ.ค.
TOP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 42.00 บาท) แนวโน้ม 4Q68 คาดกำไรปกติกลับมาฟื้นตัว QoQ ตาม run rate หลังผ่านช่วงการปิดซ่อมบำรุงตามแผน ขณะที่ crack spread ผลิตภัณฑ์หลักอย่าง Gasoline / Jet / Diesel ปรับตัวดีขึ้นมากเพราะความกังวลอุปทานตึงตัวจากรัสเซียและการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นหลายแห่งก่อนเข้าฤดูหนาว โดยเราประเมินกำไรในปี 68-69 ที่ 1.53 หมื่นล้านบาท +53%YoY และ 1.09 หมื่นล้านบาท -29%YoY ตามลำดับ โดย valuation ปัจจุบันยังไม่แพงคาดหวัง Div.Yield ในระดับที่ดีเฉลี่ยราว 5-6% ต่อปี
PYLON* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 3.09บาท) กำไรสุทธิ 3Q68 อยู่ที่ 62 ลบ. +360%YoY +6%QoQ ตามรายได้ที่เติบโต +30%YoY จากการส่งมอบงาน MRT สายสีส้ม, เวิ้งนครเกษม, Ritz Carton Lhong ฯลฯ ส่วน GPM ก็ดีขึ้นที่ 26% จาก 12% ใน 3Q67เนื่องจากประมูลงานได้ราคาดีขึ้นจากการที่คู่แข่งรายใหญ่ถอนตัวและการเพิ่มสัดส่วนให้บริการ diaphragm wall ที่ให้ margin สูง ด้านแนวโน้มกำไร 4Q68 คาดว่าจะดีต่อเนื่องโดยมี backlog พร้อมรองรับถึงปี 69 ที่ 1,659 ลบ. ปัจจุบัน Consensus คาดกำไรปี68 และ 69 ของ PYLON* ที่ 201ลบ.(จาก 0.5 ลบ.ในปี67) และ 205ลบ.+2%YoY
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
