NER ออเดอร์แน่นถึงปีหน้า ราคายางพาราส่อเดือด

#NER #ทันหุ้น – NER รับอานิสงส์ราคายางพาราขยับหลังน้ำท่วมภาคใต้กระทบซัพพลายในพื้นที่ ขณะที่บริษัทไม่ถูกผลกระทบเนื่องจากฐานการผลิตอยู่ภาคอีสาน ส่งผลต้นทุน–การดำเนินงานยังเป็นปกติ พร้อมยืนยันปี 2568 ยังรักษาเป้ายอดขาย 470,000 ตัน ขณะที่คำสั่งซื้อแน่นยาวถึง Q1/2569 และโรงงานใหม่มีแผนเดินเครื่อง Q4/2569 หนุนกำลังผลิตรวมแตะ 818,000 ตันต่อปี
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า สถานการณ์ราคายางพาราในประเทศกำลังเผชิญปัจจัยกระทบจากน้ำท่วมในภาคใต้ โดยหากภาวะน้ำท่วมไม่ทุเลาเป็นเวลานาน ย่อมทำให้ราคายางสูงขึ้นเป็นผลบวกต่อราคา แต่เป็นผลลบต่อปริมาณซัพพลายยางในพื้นที่ประสบภัย ผลผลิตต่อปีจะหายไป ส่วนหนึ่งทั้งจากการที่เกษตรไม่สามารถกรีดยางได้ ทำให้ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดลดลง และในกรณีพื้นที่ที่น้ำท่วมขังนานต่อเนื่องนับเดือนถ้าเกิดขึ้นย่อมอาจทำให้ต้นยางบางส่วนตายหรือเสียหายได้
“ตอนนี้ราคายางเริ่มมีการขยับสูงขึ้นบ้างแล้ว ผลกระทบจริงๆ ต้องรอดูสถานการณ์ก่อนว่าน้ำท่วมรอบนี้ ท่วมนานไหม ถ้านานเป็นเดือน ยางบางส่วนมันจะตายเสียหาย และในช่วงเดือนที่น้ำท่วมนั้น ผลผลิตต่อปีจะหายไปเป็นส่วนหนึ่ง แต่ในส่วนของ NER ไม่ได้กระทบเพราะพื้นที่เราอยู่ภาคอีสาน”
*ราคายางขยับขึ้นเป็นบวก
ทั้งนี้ฐานหลักและที่ตั้งของบริษัทอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้นในกรณีที่ราคายางสูงขึ้นผลกระทบทางอ้อมจึงผกผันเป็นเชิงบวกต่อราคาขายแทน อีกทั้งบริษัทประเมินว่าเป้าหมายการขายและปริมาณยังคงเหมือนเดิมสำหรับปีนี้ โดยมีสินค้าในคลังรองรับคำสั่งซื้อไว้เรียบร้อย และการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ ก็ยังเป็นไปตามปกติ อนึ่ง NER มีเป้าหมายปริมาณการขายโดยรวมปี 2568 เท่ากับ 470,000 ตัน
นายชูวิทย์ ยังระบุก่อนหน้านี้ว่า ดีมานด์ของตลาดสินค้ายางพารามีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น จากทั้งภาวะฟื้นตัวของอุตสาหกรรมทั้งตลาดในและต่างประเทศ อาทิ กลุ่มยานยนต์ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีแนวโน้มขยายตัวหนุนความต้องการใช้ยางในภาคก่อสร้าง สอดคล้องกับที่ NER ได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
*โค้งท้ายสดใสกว่า
สำหรับภาพรวมไตรมาส 4/2568 ประเมินว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี และคาดการณ์ว่าผลประกอบการน่าจะดีกว่าไตรมาส 3/2568 ที่เป็นจุดต่ำสุดของปี 2568 ขณะที่ยอดขายคงใกล้เคียงเดิม โดยปัจจุบันบริษัทมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าถึงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2569 แล้ว
ขณะที่บริษัทสามารถดำเนินการได้เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และในระยะถัดคาดว่าจะสามารถเดินทำการผลิตได้จากโรงงานแห่งใหม่ภายในไตรมาส 4/2569 ซึ่งภายหลังจากการขยายกำลังการผลิตดังกล่าว บริษัทจะมีกำลังการผลิตสินค้ารวมทั้งสิ้น 818,000 ตันต่อปี จากกำลังการผลิตในปัจจุบันที่ 515,600 ตัน
ด้านแผนขยายตลาดในต่างประเทศก็สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ทั้ง อินเดีย จีน รวมถึงอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายใหญ่จากสหรัฐ ที่คาดว่าจะมีออเดอร์ประมาณ 2,000 ตันต่อเดือน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
